LOPBURI FULL DAY TOUR
วันเดียวเที่ยวครบลพบุรี
จองเลยวันนี้ ราคารวมรถ VIP+ไกด์
อาหาร 2 มื้อ จอง 6 ท่านขึ้นไป / คนละ 1200 บาท
วันเดียวเที่ยวครบกับการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบที่จังหวัดลพบุรี
เที่ยวเมืองเก่าลพบุรี วัดพระศรีมหาธาตุ พระนารายณ์ราชนิเวศน์
บ้านวิชาเยนทร์ ศาลพระกาฬ พระปรางค์สามยอด ทุ่งทานตะวัน
หรือ ทุ่งดอกไม้ที่กระเพราะคอฟฟี่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำตกวังก้านเหลือง
เว็บไซต์ส่งเสริมการท่องเที่ยว และประชาสัมพันธ์ จังหวัดลพบุรี
ลพบุรี.org
Lopburi Travel Guide - Everything You Need to Know About Lopburi
ข้อมูลจังหวัดลพบุรี
ลพบุรี
วังนารายณ์คู่บ้าน ศาลพระกาฬคู่เมือง ปรางค์สามยอดลือเลื่อง เมืองแห่งดินสอพองเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เกริกก้อง แผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์
ลพบุรีเป็นเมืองแห่งความหลากหลายและต่อเนื่องทางวัฒนธรรมยาวนานกว่า ๓,๐๐๐ ปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่ง ของประเทศตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖) ลพบุรีอยู่ใต้อำนาจมอญและขอมจนกระทั่งในตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ ๑๙ คนไทยจึงเริ่มมีอำนาจขึ้นในดินแดนแถบนี้ในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาลพบุรีมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง กล่าวคือพระเจ้าอู่ทองได้โปรดให้พระราเมศวร ราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จมาครองเมืองลพบุรีเมื่อพ.ศ. ๑๘๙๓ พระราเมศวรโปรดให้สร้างป้อม ขุดคู และสร้างกำแพงเมืองอย่างมั่นคง เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคตในพ.ศ.๑๙๑๒ พระราเมศวร ต้องถวายราชบัลลังก์ให้แก่พระปิตุลาของพระองค์ ซึ่งได้ขึ้นครองราชย์พระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่๑ ส่วนพระราเมศวรครองเมืองลพบุรีสืบต่อไป จนถึง พ.ศ. ๑๙๓๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๑ สวรรคต พระราเมศวรจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่ ๒
หลังจากนั้นมาเมืองลพบุรีได้ลดความสำคัญลงไป จนกระทั่งมาถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงครั้งใหญ่ สืบเนื่องมาจากการคุกคามของชนชาติฮอลันดาที่ติดต่อค้าขายกับไทย ทำให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยานั้นไม่สู้ปลอดภัยจากการปิดล้อมระดมยิงของข้าศึกหากเกิดสงคราม จึงได้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีที่สองขึ้น เพราะลพบุรีมีลักษณะทางยุทธศาสตร์เหมาะสม ในการสร้างลพบุรีขึ้นใหม่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงได้รับความช่วยเหลือจากช่างชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน และได้สร้างพระราชวังและป้อมปราการเป็นแนวป้องกันอย่างแข็งแรง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ประทับอยู่ที่ลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ และโปรดให้ทูตและชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าพระองค์ที่เมืองนี้หลายครั้ง
สิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯแล้ว ลพบุรีก็หมดความสำคัญลง สมเด็จพระเพทราชาได้ทรงย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลต่อๆมา ก็ไม่ได้เสด็จมาประทับที่เมืองนี้อีก จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ. ๒๔๐๖ โปรดฯ ให้บูรณะเมืองลพบุรี ซ่อมกำแพง ป้อม และประตูพระราชวังที่ชำรุดทรุดโทรม และสร้างพระที่นั่งพิมานมงกุฎขึ้นในพระราชวังเป็นที่ประทับ และพระราชทานนามว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” ลพบุรีจึงแปรสภาพเป็นเมืองสำคัญอีกวาระหนึ่ง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งได้สร้างเมืองลพบุรีใหม่อันเป็นเมืองทหารอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทางรถไฟ มีอาณาเขตกว้างขวาง ส่วนเมืองเก่านั้นอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของทางรถไฟ เมืองลพบุรีจึงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางยุทธศาสตร์เมืองหนึ่งในลพบุรีนี้ ลพบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ๑๕๓ กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด ๖,๕๘๖.๖๗ ตารางกิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดเพชรบูรณ์ และนครสวรรค์
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสระบุรี
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดนครราชสีมา และชัยภูมิ
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และนครสวรรค์
การเดินทาง
รถยนต์
๑.จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) ผ่านจังหวัดสระบุรี อำเภอพระพุทธบาท เข้าสู่จังหวัดลพบุรีระยะทาง ๑๕๓ กิโลเมตร
๒.จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒ ซึ่งแยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะมีทางแยกเข้าได้ ๓ ทาง คือ
- เข้าทางอำเภอบางปะหัน ผ่านอำเภอนครหลวง เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๖ ผ่านอำเภอบ้านแพรก เข้าสู่จังหวัดลพบุรี
- เข้าตรงทางแยกต่างระดับจังหวัดอ่างทอง ไปยังอำเภอท่าเรือ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๖ ผ่านอำเภอบ้านแพรก เข้าสู่จังหวัดลพบุรี
-ผ่านจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี แล้วใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๑๑ (สายสิงห์บุรี-ลพบุรี) ผ่านอำเภอท่าวุ้ง เข้าสู่จังหวัดลพบุรี
รถโดยสาร มีรถโดยสารประจำทางปรับอากาศออกจากสถานีขนส่งหมอชิต ๒ ทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๕.๐๐-๒๐.๐๐ น. ทุกครึ่งชั่วโมง ค่าโดยสารรถบัสปรับอากาศชั้น ๑ คนละ ๑๒๖ บาท รถบัสปรับอากาศชั้น ๒ คนละ ๙๘ บาท รายละเอียดสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๕๒-๖๖ ต่อ ๖๑๔ , ๓๒๕ คอลเซ็นเตอร์ ๑๔๙๐ www.transport.co.th
รถตู้ การเดินทางโดยรถตู้โดยสาร จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ออกเดินทางทุกวัน เวลา ๐๕.๐๐ น. – ๒๐.๐๐ น. รถออกทุกๆ ๒๐ นาที สามารถขึ้นรถตู้โดยสารได้ 3 จุด ด้วยกัน
- รถตู้ เคโอ จอดบริเวณหน้าโรงพยาบาลราชวิถี ค่าโดยสาร ๑๑๐ บาท โทร. ๐๘๑ ๓๘๑๒๐๓๑ ,
๐๘๑ ๗๔๕๘๑๘๒
- รถตู้ ดี ทัวร์ จอดบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใต้ทางด่วน ถนนพหลโยธินฝั่งขาออกไปสนามเป้า
ค่าโดยสาร ๑๑๐ บาท โทร. ๐๘๙ ๘๘๐๖๐๐๙
- รถตู้วัชรินทร์ทัวร์ กรุ๊ป จอดบริเวณวิคตอรี่คอร์เนอร์ ปากทางพงหลี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ค่าโดยสาร ๑๑๐ บาท โทร. ๐๘ ๙๘๐๐๐๗๒๑(สำนักงานลพบุรี) โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๓๔๗๓
รถไฟ การเดินทางโดยรถไฟ สามารถเดินทางโดยรถสายเหนือ ออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงทุกวัน วันละหลายเที่ยว รายละเอียดติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ หน่วยบริการเดินทางการรถไฟแห่งประเทศไทย โทร.๑๖๙๐, ๐ ๒๒๒๐ ๔๓๓๔, ๐ ๒๒๒๐ ๔๔๔๔ (สำรองตั๋วทางโทรศัพท์ ๓ วันขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน) หรือ www.railway.co.th
ระยะทางจากอำเภอเมืองลพบุรีไปยังอำเภอต่างๆ
อำเภอท่าวุ้ง ๑๐ กิโลเมตร
อำเภอบ้านหมี่ ๓๒ กิโลเมตร
อำเภอโคกสำโรง ๓๕ กิโลเมตร
อำเภอพัฒนานิคม ๕๑ กิโลเมตร
อำเภอหนองม่วง ๕๔ กิโลเมตร
อำเภอสระโบสถ์ ๖๕ กิโลเมตร
อำเภอโคกเจริญ ๗๗ กิโลเมตร
อำเภอท่าหลวง ๘๓ กิโลเมตร
อำเภอชัยบาดาล ๙๗ กิโลเมตร
อำเภอลำสนธิ ๑๒๐ กิโลเมตร
ระยะทางจากจังหวัดลพบุรีไปจังหวัดใกล้เคียง
สิงห์บุรี ๓๓ กิโลเมตร
สระบุรี ๔๖ กิโลเมตร
อ่างทอง ๖๗ กิโลเมตร
พระนครศรีอยุธยา ๙๘ กิโลเมตร
สถานที่น่าสนใจ
อำเภอเมืองลพบุรี
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟลพบุรี สร้างในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เมื่อเข้าไปในบริเวณวัดจะพบศาลาเปลื้องเครื่องเป็นอันดับแรก ศาลาเปลื้องเครื่องนี้ใช้เป็นที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเปลื้องเครื่องทรงก่อนที่จะเข้าพิธีทางศาสนา ในพระวิหารหรือพระอุโบสถ ปัจจุบันศาลาเปลื้องเครื่องคงเหลือเพียงเสาเอนอยู่เท่านั้น ส่วนอื่นปรักหักพังไปหมดแล้ว ถัดจากศาลาเปลื้องเครื่องเป็นวิหารหลวง ซึ่งสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เป็นวิหารขนาดใหญ่มาก ประตูทำเป็นเหลี่ยมแบบไทย หน้าต่างเจาะช่องแบบโกธิคของฝรั่งเศส ภายในสร้างฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูป ทางทิศใต้ของวิหารหลวงเป็นพระอุโบสถขนาดย่อม ประตูหน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสทั้งหมด ห่างไปทางทิศตะวันตกของวิหารหลวงเป็นพระปรางค์องค์ใหญ่ที่สูงที่สุดในลพบุรี สร้างเป็นพุทธเจดีย์ องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงโบกปูน มีเครื่องประดับลวดลายเป็นพระพุทธรูปและพุทธประวัติ ที่ลายปูนปั้นหน้าบันพระปรางค์แสดงถึงอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายมหายาน และซุ้มโคปุระของปรางค์องค์ใหญ่เป็นศิลปะละโว้ มีลายปูนปั้นที่ถือว่างามมาก เดิมคงจะสร้างในสมัยขอมเรืองอำนาจแต่ได้รับการซ่อมแซมในสมัยสมเด็จพระราเมศวร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และสมเด็จพระนารายณ์ฯ ลวดลายจึงปะปนกันหลายสมัย ปรางค์องค์นี้เดิมบรรจุพระพุทธรูปไว้เป็นจำนวนมาก ที่ขึ้นชื่อคือ พระเครื่องสมัยลพบุรี เช่น พระหูยาน พระร่วง ซึ่งมีการขุดพบเป็นจำนวนมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงคือปรางค์รายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่มุมกลีบมะเฟืองทุกมุมปั้นเป็นรูปเทพพนมหันออกรอบทิศพระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม พระขนงต่อกัน ลักษณะเป็นศิลปะแบบอู่ทอง ชฎาเป็นทรงสามเหลี่ยมมีรัศมีออกไปโดยรอบ เป็นศิลปะที่มีความงามแปลกตาหาดูได้ยากในเมืองไทย
ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนี้เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา ๐๗.๐๐-๑๗.๐๐ น. เว้นวันจันทร์-อังคาร อัตราเข้าชม คนไทย ๑๐ บาท ต่างประเทศ ๕๐ บาท เด็กไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือสามารถซื้อบัตรรวมชาวไทย ๓๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๑๕๐ บาท โดยบัตรนี้สามารถเข้าชม วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระที่นั่งไกรสรสีหราช พระปรางค์สามยอดและบ้านหลวงวิชาเยนทร์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สำนักงานศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๒๕๑๐ , ๐ ๓๖๔๑ ๓๗๗๙
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลพบุรี เดิมตั้งอยู่ด้านข้าง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นอาคารไม้ ๒ ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๓ โดยท่านพระครูลพบุรีคณาจารย์ เจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง เพื่อใช้เป็นสถานที่เรียนแทนตึกโคโรซาน ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดเสาธงทอง โรงเรียนแห่งใหม่นี้มีชื่อว่า โรงเรียนพระนารายณ์ เป็นโรงเรียนชายประจำจังหวัด ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้ย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัยจนถึงปัจจุบัน อาคารไม้ ๒ ชั้นหลังนี้จึงอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากรได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่ง ททท.ได้ขออนุญาตเป็นอาคารสำนักงาน จากกรมศิลปากร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลพบุรี ได้ย้ายที่ทำการสำนักงานใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งอยู่บริเวณข้างศาลากลางจังหวัดลพบุรี ถ.นารายณ์มหาราช ต.ทะเลชุบศร อ.เมืองลพบุรี เป็นอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น เปิดบริการข้อมูลข่าวสารทุกวัน เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. โทร.๐๓๖ ๔๒๒๗๖๘ - ๙
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๙ เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ณ เมืองลพบุรีแบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน กำแพงพระราชวังก่ออิฐถือปูนมีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพงมีซุ้มประตูทั้งหมด ๑๑ ประตู ประตูทางเข้าเป็นทรงจัตุรมุขมีช่องทางโค้งแหลม ตรงจั่วซุ้มประตูตกแต่งลายกระจังปูนปั้นที่วิวัฒนาการมาจากดอกบัว ที่ซุ้มประตูและกำแพงพระราชฐานชั้นกลางและชั้นในมีช่องเล็กๆ เจาะเป็นรูปโค้งแหลมคล้ายบัวเรียงเป็นแถวสำหรับวางตะเกียง ประมาณ ๒,๐๐๐ ช่อง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๔)โปรดเกล้าฯให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๙ เพื่อให้เป็นราชธานีชั้นในและพระราชทานชื่อว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” สิ่งก่อสร้างภายในพระราชวังแบ่งตามยุคสมัยเป็น ๒ กลุ่มคือ
สิ่งก่อสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
เป็นพระที่นั่งศิลปกรรมแบบไทยและฝรั่งเศสผสมกัน เดิมเป็นท้องพระโรงมียอดแหลมทรงมณฑป ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชร ซึ่งเป็นที่เสด็จออกเพื่อทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า ประตูและหน้าต่างท้องพระโรงซึ่งอยู่ด้านหน้าทำเป็นโค้งแหลม ส่วนตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทำประตูหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ในจดหมายเหตุทูตฝรั่งเศส กล่าวพรรณนาพระที่นั่งว่า “ตามผนังประดับด้วยกระจกเงา” ซึ่งนำมาจากฝรั่งเศส เพดานแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสสี่ช่อง ประดับด้วยลายดอกไม้ทองคำ และแก้วผลึกที่ได้มาจากเมืองจีนงดงามมาก”ผนังด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่างเจาะเป็นช่องโค้งแหลมไว้สำหรับวางตะเกียง ซึ่งจะเห็นได้อีกเป็นจำนวนมาก ตามซุ้มประตูและกำแพงของพระราชวัง สมเด็จพระนารายณ์ฯเคยเสด็จออกรับคณะราชทูตฝรั่งเศส เชอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ ที่พระที่นั่งองค์นี้ในปีพ.ศ.๒๒๒๘ด้วย
พระที่นั่นจันทรพิศาล
สร้างขึ้นในปีพ.ศ.๒๒๐๘ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งซึ่งพระราเมศวรโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทองได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ด้านหน้ามีมุขเด็จ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหม่และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง ซึ่งทรงกับบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงบูรณะพระที่นั่งองค์นี้ตามแบบของเดิม ปัจจุบันใช้จัดแสดงเรื่องราวพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและงานประณีตศิลป์สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์
พระที่นั่งสุทธาสวรรค์
เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า “พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่างๆด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่ มีสระน้ำใหญ่สี่สระ เป็นที่สรงสนามของพระเจ้าแผ่นดิน” สมเด็จพระนารายณ์ฯสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๒๓๑
ตึกพระเจ้าเหา
ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเขตพระราชฐานชั้นนอก ตึกหลังนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯได้อย่างชัดเจนมาก เป็นตึกที่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ยกพื้นสูงขึ้นไปประมาณ ๑ เมตร ตัวตึกเป็นรูปทรงไทย ฐานก่อด้วยอิฐศิลาแลงและจึงก่ออิฐขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเหลือแต่ประตูหน้าต่าง ทำเป็นซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ปัจจุบันคงปรากฏลายให้เห็นอยู่ ด้วยเหตุว่าภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏให้เห็นอยู่และชาวฝรั่งเศสได้ระบุว่าเป็นวัดจึงสันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำราชวัง ตึกพระเจ้าเหาหรือ “พระเจ้าหาว”(หาวเป็นภาษาไทยโบราณหมายถึงท้องฟ้า) ในตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ ใช้ตึกพระเจ้าเหา เป็นที่นัดแนะประชุมขุนนางและทหารเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระประชวรหนัก
ตึกรับรองแขกเมือง
ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ใกล้กับตึกหมู่สิบสองท้องพระคลังเป็นสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยานซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสรอบตึก มีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุเรียงรายเป็นระยะอยู่ ๒๐ แห่ง จากเค้าโครงที่แสดงว่าในสมัยก่อนคงจะสวยงามมากทางด้านหน้าตึกเลี้ยงรับรองมีรากฐานเป็นอิฐแสดงให้เห็นว่าตึกหลังเล็กๆคงจะเป็นโรงมหรสพ ซึ่งมีการแสดงให้แขกเมืองชมภายหลังการเลี้ยงอาหาร สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตจากประเทศฝรั่งเศส ณ สถานที่นี้ ใน พ.ศ. ๒๒๒๘ และ พ.ศ. ๒๒๓๐
พระคลังศุภรัตน์(หมู่ตึกสิบสองท้องพระคลัง) เป็นหมู่ตึกตั้งอยู่ระหว่างอ่างเก็บน้ำประปาและตึกซึ่งใช้เป็นสถานที่พระราชทานเลี้ยงชาวต่างประเทศสร้างขึ้นอย่างมีระเบียบด้วยอิฐสองแถวเรียงชิดติดกัน อาคารมีลักษณะค่อนข้างทึบมีถนนผ่ากลาง จำนวนรวม ๑๒ หลัง เข้าใจว่าเป็นคลังเพื่อเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของเพื่อใช้ในราชการ
อ่างเก็บน้ำหรือถังเก็บน้ำประปา
ก่อด้วยอิฐยกขอบเป็นกำแพงสูงหนาเป็นพิเศษตรงพื้นที่มีท่อดินเผาฝังอยู่เพื่อจ่ายน้ำไปใช้ตามตึกพระที่นั่งต่างๆโดยท่อดินเผาจากทะเลชุบศรและอ่างซับเหล็กตามบันทึกกล่าวว่าระบบการจ่ายทดน้ำเป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน
โรงช้างหลวง
ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุดโรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฏให้เห็นประมาณ ๑๐ โรงช้าง ซึ่งยืนโรงในพระราชวังคงเป็นช้างหลวงหรือช้างสำคัญสำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์ฯเจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่
สิ่งก่อสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประกอบด้วยหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ และอาคารต่างๆซึ่งปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ฯ
หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๕ เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จบูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง ๔ องค์ คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฎเป็นที่ประทับ พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัยเป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน พระที่นั่งไชยศาสตรากรเป็นที่เก็บอาวุธ พระที่นั่งอักษรศาสตราคมในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด ต่อมาเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่ใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
หมู่ตึกพระประเทียบ
ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฎ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายใน เป็นตึกชั้นเดียว ๒ หลังก่อด้วยอิฐหรือปูนสูง ๒ ชั้น เรียงรายอยู่ ๘ หลัง สร้างขึ้นเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายในที่ตามเสด็จรัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองลพบุรี
ทีมดาบหรือที่พักของทหารรักษาการณ์
เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลางข้างประตูทั้ง ๒ ด้านตรงบริเวณสนามหญ้าจะแลเห็นศาลาโถงข้างละหลัง นั่นคือตึกซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวัง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์
ตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖ แบ่งอาคารจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุเป็น ๔ อาคาร
๑. พระที่นั่งพิมานมงกุฎ จัดแสดงหลักฐานโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบจากแหล่งโบราณคดีลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณภาคกลางของประเทศไทยและแหล่งโบราณคดี จังหวัดลพบุรี โครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผา เตาดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ทำจากโลหะ ภาชนะสำริด เครื่องประดับทำจากหินและเปลือกหอย เป็นต้น ภายในพระที่นั่งแบ่งเป็นห้องต่างๆ ได้แก่
- ห้องภาคกลางประเทศไทย พ.ศ. ๘๐๐-๑๕๐๐ รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียที่เรียกว่า สมัยทวารวดี จัดแสดงเรื่องการเมือง การตั้งถิ่นฐาน เทคโนโลยีและการดำเนินชีวิต อักษร ภาษา ศาสนสถาน ศาสนาแลความเชื่อถือ หลักฐานที่จัดแสดงได้แก่ พระพุทธรูป พระพิมพ์ดินเผา เหรียญตราประทับดินเผา จารึกภาษาบาลี สันสกฤต และรูปเคารพต่างๆ
- ห้องอิทธิพลศิลปะเขมร-ลพบุรี จัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ โบราณคดีสมัยชนชาติขอมแผ่อิทธิพลเข้าปกครองเมืองลพบุรี และบริเวณภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ ทับหลัง พระพุทธรูปปางนาคปรก พระพุทธรูปปางประทานอภัย เป็นต้น
- ห้องประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทยจัดแสดงศิลปกรรมที่พบตามภาคต่างๆของประเทศไทย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ ได้แก่ศิลปะแบบหริภุญไชย ศิลปะล้านนา ศิลปะสมัยลพบุรี เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระพิมพ์ และพระพุทธรูปสำริดสมัยต่างๆ
- ห้องประวัติศาสตร์ศิลปกรรมสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ ตั้งแต่พุทธสตวรรษที่ ๑๘-๒๔ ได้แก่ พระพุทธรูป เครื่องถ้วย เงินตรา อาวุธ เครื่องเงิน เครื่องทอง และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมปูนปั้นและไม้แกะสลักต่างๆ
- ห้องศิลปะร่วมสมัย จัดแสดงภาพเขียนและภาพพิมพ์ศิลปะร่วมสมัยของศิลปินไทย
- ห้องประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและพระราชประวัติของสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ซึ่งโปรดฯให้สร้างพระราชวัง ณ เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ ได้แก่ ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ฉลองพระองค์ เครื่องใช้ แท่นพระบรรทม เหรียญทอง และจานชามมีรูปมงกุฎซึ่งเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์ เป็นต้น
๒. พระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมแบบทรงไทย จัดแสดงเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรม และพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และห้องด้านหลังจัดแสดงงานประณีตศิลป์สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์
๓. หมู่ตึกพระประเทียบ (อาคารชีวิตไทยภาคกลาง) เป็นอาคารลักษณะสถาปัตยกรรมผสมแบบตะวันตก จัดแสดงเรื่องชีวิตไทยภาคกลาง การดำรงชีวิต ที่อยู่อาศัย เครื่องมือ เครื่องใช้ประกอบอาชีพประมง การเกษตร และศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของคนไทยภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดลพบุรีที่ใช้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
๔. พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ จัดแสดงหนังใหญ่ เรื่องรามเกียรติ์ซึ่งมาจากวัดตะเคียน ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมืองลพบุรี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประจำปี ๒๕๔๕ รางวัลดีเด่นประเภทแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรม เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐น. เว้นวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ๓๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๑๕๐ บาท สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๑๔๕๘
วัดเสาธงทอง
ตั้งอยู่บนถนนฝรั่งเศสซึ่งตัดเชื่อมระหว่างพระนารายณ์ราชนิเวศน์ กับบ้านหลวงรับราชทูต เป็นวัดเก่าแก่ เดิมแยกเป็นสองวัดคือ วัดรวก และวัดเสาธงทอง พระยาโบราณราชธานินทร์(พร เตชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา ได้รายงานกราบทูลเสนอความคิดต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณ วโรรส เมื่อคราวเสด็จ ตรวจการคณะสงฆ์ในมณฑลอยุธยาว่า วัดรวกมีโบสถ์ วัดเสาธงทองมีวิหาร สมควรจะรวมเป็นวัดเดียวกัน ทรงดำริเห็นชอบให้เป็นวัดเดียวกัน ทรงดำริเห็นชอบให้รวมกันและให้เรียกชื่อว่า วัดเสาธงทอง
วัดนี้มีโบราณสถานที่ควรชมคือ พระวิหาร ซึ่งแต่เดิมคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานของศาสนาอื่น เพราะจากแผนที่ของช่างชาวฝรั่งทำไว้ ระบุว่าพื้นที่บริเวณเป็นที่พำนักของชาวเปอร์เซียพระวิหารหลังนี้อาจเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามของชาวเปอร์เซียก็เป็นได้ นอกจากนั้นก็มีตึกปิจู ตึกคชสารหรือตึกโคระส่านเป็นตึกเก่าสันนิษฐานว่าใช้เป็นที่พำนักของแขกเมืองและราชทูตชาวเปอร์เซีย
บ้านหลวงรับราชทูต หรือ บ้านหลวงวิชาเยนทร์
ตั้งอยู่บนถนนวิชาเยนทร์ ห่างจากปรางค์แขกประมาณ ๓๐๐ เมตร ทางทิศเหนือของพระนารายณ์ราชนิเวศน์ สำหรับเป็นที่รองรับราชทูตที่มาเฝ้าฯสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่เมืองลพบุรีคณะราชทูตจากประเทศฝรั่งเศสชุดแรกที่เข้ามาเมื่อปี ฑ.ศ. ๒๒๒๘ ได้พำนัก ณ ที่แห่งนี้ ต่อมา Constantine Phaulkon ( คอนสแตนติน ฟอลคอน)ซึ่งเป็นชาวกรีกได้เข้ามารับราชการได้รับความดี ความชอบ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “เจ้าพระยาวิชาเยนทร์” และได้พระราชทานที่พักอาศัยทางทิศตะวันตกของบ้านหลวงรับราชทูต พื้นที่ในบริเวณบ้านหลวงรับราชทูตแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน
ส่วนทิศตะวันตก เป็นอาคารที่พักอาศัยของคณะทูต ได้แก่ ตึกสองชั้นหลังใหญ่ก่อด้วยอิฐและอาคารชั้นเดียวแคบยาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม
ส่วนกลางมีอาคารที่สำคัญ คือ ฐานของสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นหอระฆังและโบสถ์ คริสต์ศาสนา ซึ่งอยู่ทางด้านหลังซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปจั่ว
ส่วนทิศตะวันออก ได้แก่ กลุ่มอาคารใหญ่ ๒ ชั้น มีบันไดขึ้น ทางด้านหน้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ซุ้มประตูทางเข้ามีลักษณะเช่นเดียวกับทางทิศตะวันตก
ลักษณะของสถาปัตยกรรมในบ้านหลวงรับราชทูตบางหลังเป็นแบบยุโรปอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอาคารใหญ่ทางทิศตะวันออกก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น หน้าต่างและซุ้มประตูแสดงให้เห็นถึงศิลปะตะวันตกแบบเรอเนสซองส์ ซึ่งเจริญแพร่หลายในสมัยนั้น และที่สำคัญ อาคารที่เป็นโบสถ์คริสต์ศาสนา ผังและแบบของโบสถ์เป็นแบบยุโรป มีซุ้มหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว มีเสาปลายเป็นรูปกลีบบัวยาวซึ่งเป็นศิลปะไทย โบสถ์เหล่านี้ถือกันว่าเป็นโบสถ์คริสต์หลังแรกในโลกที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา
สามารถเข้าชมได้ระหว่างเวลา ๐๗.๐๐-๑๗.๐๐ น. เว้นวัน จันทร์-อังคาร อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๕๐ บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สำนักงานศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๒๕๑๐ , ๐ ๓๖๔๑ ๓๗๗๙
ศาลหลักเมือง หรือ ศาลลูกศร
ตั้งอยู่ถนนสายริมน้ำหลังวัดปืนใหญ่ ใกล้กับบ้านวิชาเยนทร์ ตัวศาลาเป็นตึกเล็กๆมีเนื้อที่ประมาณ ๑๒ ตารางเมตร มีแท่งหินแท่งหนึ่งโผล่เหนือระดับพื้นดินขึ้นมา สูงประมาณ ๑ เมตร เป็นศาลเจ้าหลักเมืองโบราณที่เรียกว่า ศาลลูกศร สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับศาลลูกศรไว้ในตำนานเมืองลพบุรีว่า หลักเมืองลพบุรี อยู่ทางตลาดข้างเหนือวัง เรียกกันว่า ศรพระราม จะมีมาแต่ก่อนสมัยขอมฤาเมื่อครั้งขอมทราบไม่ได้แน่ ที่เรียกกันว่าศรพระรามนั้นเกิดแต่เอาเรื่องรามเกียรติ์สมมติฐานเป็นตำนานของเมืองนี้ คือ เมื่อเสด็จศึกทศกัณฑ์พระรามกลับไปครองเมืองอโยธยาแล้ว จะสร้างเมืองประทานตรงนั้น ลูกศรพระรามไปตกบนภูเขาบันดาลให้ยอดเขานั้นราบลง หนุมานตามไปถึงจึงเอาหางกวาดดินเป็นกำแพงเมืองหมายไว้เป็นสำคัญ แล้วพระวิษณุกรรมลงมาสร้างเมือง ครั้นเสด็จ แล้วพระรามจึงประทานนามว่า “เมืองลพบุรี” ด้วยเหตุนี้จึงอ้างกันมาก่อนว่า หลักเมืองนั้นคือลูกศรพระรามที่กลายเป็นหิน และเนินดินตามกำแพงเมืองที่ยังปรากฏอยู่เป็นของหนุมานที่เอาหางกวาดทำไว้
เทวสถานปรางค์แขก อยู่ใกล้กับนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของลพบุรี เป็นปรางค์ก่อด้วยอิฐมีสามองค์ แต่ไม่มีฉนวนต่อเชื่อมกันเหมือนปรางค์สามยอด นักโบราณคดีกำหนดว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เพราะมีลักษณะคล้ายกับปรางค์ ศิลปะเขมรแบบพะโค ( พ.ศ. ๑๔๒๕-๑๕๓๖) เป็นปรางค์แบบเก่าซึ่งมีประตูทางเข้าแบบโค้งแหลม ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดให้สร้างวิหารขึ้นด้านหลัง และถังเก็บน้ำซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของปรางค์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างวิหารขึ้นด้านหน้า และถังเก็บน้ำประปาทางด้านทิศใต้ของเทวสถาน
พระปรางค์สามยอด
ตั้งอยู่บนเนินดินทางด้านตะวันตกของทางรถไฟใกล้กับศาลพระกาฬ มีลักษณะเป็นปรางค์เรียงต่อกัน ๓ องค์ มีฉนวนทางเดินเชื่อมติดต่อกัน พระปรางค์สามยอดเป็นศิลปะเขมรแบบบายน ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สร้างด้วยศิลาแลง และตกแต่งลวดลายปูนปั้นที่สวยงาม เสาประดับกรอบประตูแกะสลักเป็นรูปฤาษีนั่งชันเข่าในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นแบบเฉพาะของเสาประดับกรอบประตูศิลปะเขมรแบบบายน ปรางค์องค์กลางมีฐาน แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและมีเพดานไม้เขียนลวดลายเป็นดอกจันสีแดง
ด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีวิหารสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ปางสมาธิที่สมบูรณ์ดี เป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐
ปรางค์สามยอดนี้แต่เดิมคงเป็นเทวสถานของขอมในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ต่อมาได้ดัดแปลงเป็นเทวสถานโดยมีฐานศิวลึงค์ปรากฏอยู่ในองค์ปรางค์ทั้งสามปรางค์ จนกระทั่งถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงได้บูรระปฏิสังขรณ์พระปรางค์สามยอดเป็นวัดในพระพุทธศาสนา แล้วสร้างพระสิหารก่อด้วยอิฐ ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาผสมแบบยุโรปในส่วนของประตูและหน้าต่าง ภายในวิหารประดิษฐานพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันยังคงประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง
เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา ๐๖.๐๐-๑๘.๐๐น. เว้นวันจันทร์-อังคาร อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๕๐บาท
ศาลพระกาฬ ตั้งอยู่ริมทางรถไฟด้านทิศตะวันออกของพระปรางค์สามยอด ตำบลท่าหิน เป็นเทวสถานเก่าของขอม จึงเรียกกันมาแต่ก่อนอีกชื่อหนึ่งว่า “ศาลสูง” ที่ทับหลังซึ่งทำด้วยศิลาทรายสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ อายุราวศตวรรษที่ ๑๖ วางอยู่ติดฝาผนังวิหารหลังเล็กชั้นบน ณ ที่นี้ได้พบหลักศิลาจารึกแปดเหลี่ยมจารึกอักษรมอญโบราณด้วย
ส่วนด้านหน้าเป็นศาลที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ โดยสร้างทับบนรากฐานเดิมที่สร้างไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในวิหารประดิษฐานพระนารายณ์ยืนทำด้วยศิลา ๒ องค์ องค์เล็กเป็นแบบเทวรูปเก่าในประเทศไทย องค์ใหญ่เป็นประติมากรรมแบบลพบุรีแต่พระเศียรเดิมหายไป ภายหลังมีผู้นำเศียรพระพุทธรูปศิลาทรายสมัยอยุธยามาสวมไว้ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่งทั่วไป
ในบริเวณรอบศาลพระกาฬร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ จึงเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงกว่า ๓๐๐ ตัว ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของจังหวัดลพบุรี กล่าวกันว่าเดิมบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นกร่างขนาดใหญ่มีลิงอาศัยอยู่ เมื่อมีคนนำอาหารและผลไม้มาแก้บนที่ศาลพระกาฬลิงป่าเหล่านั้นได้เข้ามากินอาหาร จึงเชื่องและคุ้นเคยกับคนมาก
วัดนครโกษา
อยู่ทางตอนเหนือของสถานีรถไฟลพบุรีใกล้กับศาลพระกาฬ มีซากโบราณสถาน คือ เจดีย์องค์ใหญ่สมัยทวารวดี พระปรางค์สมัยลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ อยู่ด้านหน้า แต่พระพุทธรูปปูนปั้นแบบอู่ทองบนปรางค์นั้นสร้างขึ้นภายหลัง และยังพบเทวรูปขนาดใหญ่มีร่องรอยการดัดแปลงเป็นพระพุทธรูป ๒ องค์ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ เทวสถานแห่งนี้ภายหลังสร้างเป็นวัดขึ้นในสมัยอยุธยา ดังจะเห็นได้จากซากวิหารเหลือซึ่งเหลือแต่ผนัง และเสาอยู่ทางด้านหน้าและมีเจดีย์สูงก่อด้วยอิฐอยู่เบื้องหลัง คำว่า “วัดนครโกษา” มีผู้สันนิษฐานว่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เป็นผู้บูรณะจึงเรียกว่า “วัดนครโกษา”ตามราชทินนามนั่นเอง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๒๕๑๐ , ๐ ๓๖๔๑ ๓๗๗๙
วัดสันเปาโล
ตั้งอยู่บนถนนร่วมมิตร ทางเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ลพบุรี เป็นวัดของพวกบาทหลวงเยซูอิต สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงผนังด้านหนึ่งและหอดูดาว บริเวณโดยรอบมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น คำว่า “สันเปาโล” คงพี้ยนมาจากคำว่าเซ็นตปอลหรือเซ็นเปาโล ชาวบ้านมักเรียกว่า “ตึกสันเปาหล่อ”
วัดมณีชลขัณฑ์
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตลาดท่าโพธิ์ วัดนี้ถูแบ่งเป็นสองส่วน เพราะมีถนนตัดตรงกลางพอดี มีโบราณสถานที่น่าสนใจ คือ พระเจดีย์รูปทรงแปลก คือก่อเป็นเหลี่ยมสูงชะลูดขึ้นไป คล้ายกับเจดีย์เหลี่ยมสมัยเชียงแสน(ล้านนา)แต่ตรงมุมมีการย่อมุมไม้สิบสอง ทำเป็นสามชั้นมีซุ้มประตูยอดแหลมอยู่ด้านข้างทั้งสี่ด้านทุกชั้น นอกจากนี้ภายในวัดยังมีต้นโพธิ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเพาะเมล็ดนำมาปลูกไว้
วัดตองปุ
อยู่หลังโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ตำบลทะเลชุบศร เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญวัดหนึ่ง ในอดีตเคยเป็นที่ชุมนุมกองทัพไทยในวัดตองปุนี้มีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น พระอุโบสถทรงไทยที่มีฐานอ่อนโค้ง วิหารมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือ หน้าต่างและประตูเป็นช่องโค้งแหลมนอกจากนี้ยังมีเจดีย์ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเจดีย์หลวงพ่อแสงวัดมณีชลขัณฑ์ แต่มีขนาดเล็กกว่า และยังมีโบราณวัตถุที่สำคัญเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวในเมืองไทย คือ ที่สรงน้ำพระโบราณ หรือที่เรียกกันว่า น้ำพุสรงน้ำพระ เก็บรักษาไว้ที่วัดแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมี หอไตร คลัง และหอระฆังที่ควรชม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๓๑๙๘
วัดกวิศรารามราชวรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ถนนเพทราชา ตำบลท่าหิน ติดกับพระนารายณ์ราชนิเวศน์ทางด้านทิศใต้ จากตำนานกล่าวกันว่า เดิมชื่อ วัดขวิด และในประกาศเรื่องพระนารายณ์ราชนิเวศน์ กล่าวว่าสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงโปรดพระราชทานนามให้เรียกว่า วัดกระวิศราราม ต่อมาได้รับปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ ๕ และใน พ.ศ. ๒๔๘๑ พระกิตติญาณมุนี เจ้าอาวาสในขณะนั้นได้ขอเปลี่ยนชื่อเป็น วัดกวิศราราม อันมีความหมายว่า วัดของพระเจ้าแผ่นดิน กล่าวกันว่าเป็นที่ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในสมัยนั้น ภายในวัดมีพระอุโบสถมีประตูทางเข้าออกทางเดียวกัน หน้าต่างเจาะช่อง ศิลปะแบบอยุธยา มีมุขเด็จอยู่ด้านหน้าที่รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดให้ต่อออกมาและขยายพัทธสีมาให้ใหญ่กว่าเดิม พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะอู่ทองจิตรกรรมฝาผนังเป็นลายรูปดอกไม้ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ทรงกลมบนฐานเหลี่ยมองค์ใหญ่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถและหมู่กุฏิซึ่งเป็นฐานในรัชกาลที่ ๔ ตลอดจนหอพระไตรปิฎกที่สวยงามอยู่ภายในวัด สอบรายละเอียด โทร. ๐๓๖๖๑ ๘๕๙๓
วัดเชิงท่า
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลพบุรีทางทิศตะวันออก พื้นที่ด้านหน้าติดพระราชวัง “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” ด้านทิศตะวันตกหันหน้าสู่แม่น้ำลพบุรี เดิมชื่อวัดท่าเกวียน ด้วยเป็นท่าของเกวียนลำเลียงสินค้าขนส่งมาลงที่ท่าน้ำหน้าวัดแห่งนี้ ภายในวัดเชิงท่ามีอาคารสำคัญสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ ได้แก่ พระอุโบสถ พระเจดีย์ประธานของวัด กุฏิสงฆ์แบบตึกสองชั้นทรงเก๋งจีน ศาลาตรีมุข อาคารโวทานธรรมสภา หอระฆังและศาลาการเปรียญ ซึ่งถือว่าเป็นศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าและสวยงามแห่งหนึ่งของจังหวัดลพบุรีภายในวัดมีสถานที่น่าสนใจคือ
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องประวัติวัดเชิงท่า พระสงฆ์ พระธรรมและพระพุทธ สาระสำคัญของการจัดแสดงเกี่ยวข้องกับความรู้ทางพุทธศาสนาอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระรัตนไตร อันเป็นแก้วสามประการที่หมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ นอกจากนี้ยังแสดงอัฐบริขารและเครื่องใช้ในพุทธศาสนาที่สำคัญ แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ไตร จีวร บาตร ตาลปัตร เครื่องเคลือบ ธรรมมาสน์ ตู้พระไตรปิฎก ตู้เก็บคัมภีร์ ภาพพระบฎ มหาเวสสันดรชาดกและพระพุทธเจ้าในอนาคต ได้แก่ พระศรีอริยเมตไตร พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์นี้ เปิดบริการให้เข้าชม สอบถามรายละเอียด โทร. ๐๘ ๙๘๐๒ ๔๒๑๑
สวนสัตว์ลพบุรี
ตั้งอยู่หลัง “โรงภาพยนตร์ทหารบก” ห่างจากวงเวียนสระแก้วไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ กิโลเมตร สวนสัตว์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้มุ่งพัฒนาเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองสำคัญโดยได้ก่อสร้างสิ่งต่างๆ มากมายรวมทั้งสวนสัตว์แห่งนี้ด้วย ต่อมาเมื่อสิ้นยุคสมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม สวนสัตว์ก็พลอยถูกทอดทิ้งและร้างไปในที่สุด
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ศูนย์สงครามพิเศษ ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ไดร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งชมรม สโมสร พ่อค้า ประชาชน ดำเนินการปรับปรุงบูรณะสวนสัตว์ขึ้นใหม่ ให้เป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจและเป็นแหล่งสำหรับศึกษาหาความรู้ในเรื่องสัตว์และพืชนับเป็นสวนสัตว์ที่มีความอุดมสมบูรณ์พอควรแก่การบริการประชาชนในท้องถิ่น สวนสัตว์แห่งนี้เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐-๑๘.๐๐ น. ค่าผ่านประตูผู้ใหญ่ ๒๐ บาท เด็ก ๑๐ บาท รถยนต์ ๑๐ บาท จักรยานยนต์ ๕ บาท สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๓๕๕๑
สระแก้ว
ตั้งอยู่กลางวงเวียนศรีสุริโยทัย หรือวงเวียนสระแก้ว ถนนนารายณ์มหาราช อำเภอเมืองลพบุรี กลางสระมีสิ่งก่อสร้างรูปร่างคล้ายเทียนขนาดยักษ์ ตั้งอยู่บนพานขนาดใหญ่รอบขอบพานประดับเครื่องหมายกระทรวงต่างๆ มีสะพานเชื่อมโยงถึงกันโดยรอบทั้ง ๔ ทิศ ที่เชิงสะพานมีคชสีห์ในท่านั่งหมอบอยู่สะพานละ ๒ ตัว
วัดชีป่าสิตาราม
ตั้งอยู่ริมถนนนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุบศร ไม่ปรากฏว่าสร้างในสมัยใด ภายในวัดมีเจดีย์ทรงระฆังศิลปะอยุธยา และมีการรักษาโรคด้วยการอบสมุนไพร และนวดแผนโบราณโดยชมรมสมุนไพร เปิดบริการทุกวัน ระหว่างเวลา ๐๘.๐๐-๑๗.๐๐ น. สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๒๗๖๓
พระที่นั่งไกรสรสีหราช
(พระที่นั่งเย็นหรือตำหนักทะเลชุบศร)
ตั้งอยู่ที่ตำบลทะเลชุบศร ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ ๔ กิโลเมตร พระที่นั่งแห่งนี้ เป็นที่ประทับอีกแห่งหนึ่งของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช องค์พระที่นั่งตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลชุบศร ซึ่งในสมัยโบราณเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีเขื่อนหินถือปูนล้อมรอบ สมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อทรงสำราญพระราชอิริยาบถ บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ประพาสป่าล่าช้าง บริเวณภูเขาทางทิศตะวันออก แล้วจะกลับเข้าเสด็จประทับ ณ พระที่นั่งองค์นี้ พระที่นั่งเย็นสร้างขึ้นในปีใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการที่พระนารายณ์ได้ทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากประเทศฝรั่งเศส ณ พระที่นั่งนี้ จึงเป็นหลักฐานที่แน่ชัดว่าพระที่นั่งเย็นได้สร้างก่อน พ.ศ.๒๒๒๘
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นพระที่นั่งชั้นเดียวก่ออิฐถือปูนมีผนังเป็นทรงจัตุรมุข ตรงมุขหน้าเป็นมุขเด็จยื่นออกมา และมีสีหบัญชรกลางมุขสำหรับสมเด็จพระนารายณ์ฯเสด็จออก ซุ้มหน้าต่าง และซุ้มประตูทำเป็นซุ้มเรือนแก้วเป็นแบแผนที่นิยมทำกันมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ สภาพปัจจุบันเหลือแต่ผนัง เครื่องบนหักพังหมดแล้ว
ในบริเวณพระที่นั่งเย็นมีอาคารเล็กๆก่อด้วยอิฐซึ่งทำประตูหน้าต่างเป็นแบบโค้งแหลม เข้าใจว่าคงเป็นที่พักทหาร ด้านหน้าและด้านหลังพระที่นั่งมีเกยทรงม้าหรือช้างด้านละแห่ง
พระที่นั่งเย็นมีความสำคัญทางดาราศาสตร์ในฐานะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯใช้เป็นสถานที่สำรวจจันทรุปราคา เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๒๒๘ และทอดพระเนตรสุริยุปราคา เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๒๓๑ ร่วมกับบาทหลวงเยซูอิตและบุคคลในคณะทูตชุดแรกที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศสส่งมาเจริญสัมพันธไมตรีเหตุที่ได้ใช้พระที่นั่งเย็นเป็นที่สำรวจจันทรุปราคามีบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าเป็นที่เหมาะสมสามารถมองท้องฟ้าได้ทุกด้าน และมีพื้นที่กว้างมากพอสำหรับที่จะติดตั้งเครื่องมือ ยังมีภาพการสำรวจจันทรุปราคาที่พระที่นั่งเย็นซึ่งชาวฝรั่งเศสวาดไว้ เป็นรูปสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงสวมลอมพอก ทรงกล้องส่องยาววางบนขาตั้งทอดพระเนตรดวงจันทร์จากสีหบัญชรของพระที่นั่งเย็น และตรงเฉลียงสองข้างสีหบัญชรด้านหนึ่งมีขุนนางหมอบกราบ อีกด้านหนึ่งมีนักดาราศาสตร์กำลังสังเกตการณ์โดยใช้กล้องส่อง จึงกล่าวได้ว่าการศึกษาวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ณ พระที่นั่งเย็น เมืองลพบุรีนี้เอง
ส่วนทะเลชุบศรในสมัยโบราณนั้นเป็นที่ลุ่มน้ำขังอยู่ตลอดสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯใหสร้างทำนบใหญ่กั้นน้ำไว้ เพื่อชักน้ำจากทะเลชุบศรผ่านท่อน้ำดินเผาไปยังเมืองลพบุรี ปัจจุบันยังเห็นเป็นสันดินปรากฏอยู่ อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๕๐ บาท สอบถามรายละเอียด สำนักงานศิลปากรที่ ๔ โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๓๗๗๙, ๐ ๓๖๔๑ ๒๕๑๐
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ตั้งอยู่กลางวงเวียนเทพสตรีใกล้ศาลากลางจังหวัดลพบุรีบริเวณหัวถนนนารายณ์มหาราชก่อนเข้าสู่ย่านตัวเมือง อนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นรูปปั้นในท่าประทับยืนผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกพระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ ก้าวพระบาทซ้ายออกมาข้างหน้าเล็กน้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๙ ที่ฐานอนุสาวรีย์ได้จารึกข้อความว่า “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์ไทยผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งทรงพระราชสมภพ ณ กรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๑๗๕ สวรรคต ณ เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑ พระองค์ทรงมีพระบรมราชกฤษดาภินิหารเป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ปราสาททององค์สุดท้าย ในรัชสมัยของพระองค์วรรณคดีและศิลปะของไทยได้เจริญถึงขีดสูงสุด มีสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศอย่างกว้างขวาง เกียรติคุณของประเทศไทยแผ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันสร้างและประดิษฐานอนุสาวรีย์นี้ไว้ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๙
วัดยาง ณ รังสี และพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน
ตั้งอยู่หมู่ ๒ บนตำบลตะลุง ริมฝั่งแม่น้ำลพบุรี ด้านทิศตะวันตก เดิมเรียกว่า วัดพญายาง เนื่องจากภายในบริเวณวัดมีต้นยางยักษ์ใหญ่ตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ท่ามกลางดงต้นยาง เดิมชื่อวัดยางศรีสุธรรมาราม แล้วเปลี่ยนเป็นวัดยาง ณ รังสี จนถึงปัจจุบัน
ส่วน พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน ตั้งอยู่ที่ศาลาการเปรียญไม้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๐ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี ศาลาหลังนี้ได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น ในปี พ.ศ.๒๕๓๖ ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบศาลาวัดในชนบทของภาคกลางในประเทศไทย ทั้งนี้ผู้สร้างจำลองแบบมาจากภาพศาลาที่อยู่ด้านหลังธนบัตรใบละ ๑ บาท ที่พิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ ๘ ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยาก ต่อมาได้มีการบูรณะซ่อมแซมแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ โครงการพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านจึงได้เกิดขึ้นและนับเป็นพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านแห่งแรกของประเทศไทย
การเดินทาง ใช้เส้นทางสายลพบุรี - บางปะหัน (ถนนเลียบคลองชลประทาน) จนถึงกม.ที่ ๙ วัดจะอยู่ด้านขวามือ มีรถโดยสารประจำทางสายลพบุรี-บ้านแพรก ระหว่างเวลา ๐๕.๓๐-๑๗.๓๐ น. โทร.๐ ๓๖๖๕๖๓๘๐
วัดสิริจันทรนิมิตรวรวิหาร (วัดเขาพระงาม)
ตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดลพบุรีไปทางทิศเหนือตามถนนพหลโยธินไปประมาณ ๑๒ กิโลเมตร อยู่ในเขตตำบลเขาพระงาม วัดเขาพระงามนี้เดิมเป็นวัดร้าง สร้างมาแต่เมื่อใดไม่มีปรากฏ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๕ พระอุมาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสกรุงเทพฯ กับพระสงฆ์อีกรูปได้ธุดงค์มาพักที่วัดนี้ เห็นว่ามีภูมิประเทศดีจึงได้สร้างพระพุทธรูปที่เขานี้ เป็นพระพุทธรูปที่มีหน้าตักกว้าง ๑๑ วา สูงจากหน้าตักถึงยอดพระเศียร ๑๘ วา เส้นพระศกทำด้วยไหกระเทียมเมื่อสร้างเสร็จได้ถวายพระนามว่า พระพุทธนฤมิตมัธยมพุทธกาล ครั้นภายหลังซ่อมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ จึงเปลี่ยนนามใหม่ว่า พระพุทธปฏิภาคมัธยมพุทธกาล (หลวงพ่อใหญ่) จนถึงทุกวันนี้ สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๔๘ ๖๒๐๑
การเดินทางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๑ (ลพบุรี-โคกสำโรง) ระยะทางประมาณ ๑๒ กิโลเมตร จากศาลากลางจังหวัดลพบุรี เมื่อเดินทางเข้าใกล้บริเวณวัด จะแลเห็นพระพุทธรูปสีขาว เดินตระหง่านอยู่บนเชิงเขา มีรถโดยสารประจำทางสายลพบุรี-เขาพระงาม-ศูนย์การบิน ผ่านหน้าวัดบริการระหว่างเวลา ๐๖.๐๐-๑๗.๐๐ น. ต้นทางอยู่ที่วัดพรหมมาสตร์ สามารถขึ้นรถจากข้างวังนารายณ์
หอไตรวัดท่าแค
อยู่ภายในวัดท่าแค เป็นหอไตรที่เก็บพระธรรมของชุมชน "ลาวหล่ม" โดยปกติจะสร้างบนเสาสูงในสระน้ำ แต่หอไตรที่วัดท่าแคนี้ มีลักษณะแปลกกว่าที่อื่น คือ สร้างเป็นเรือนไม้ทรงจตุรมุข ตั้งอยู่บนเสาสูง หลังคามุงด้วยกระเบื้องว่าวและมีหลังคารูปหอคอยอยู่กึ่งกลาง เลียนแบบหลังคาทรงปราสาท เครื่องบนและซุ้มระเบียงตกแต่งด้วยแผ่นไม้แกะสลักแบบตะวันตกทำให้ดูอ่อนช้อยและโปร่งตา ส่วนบานเฟี้ยมที่ใช้กั้นผนังห้องเป็นลายไม้สลักเป็นภาพสัญลักษณ์มงคลของจีน ผนังบางส่วนติดกระจกสีเป็นช่องให้แสงลอดมาได้ สอบถามรายละเอียด โทร.๐ ๓๖๔๒ ๗๐๙๔
การเดินทาง ใช้เส้นทางเลียบคลองชลประทาน (สะพาน ๖ - อำเภอบ้านหมี่) จนถึงสถานีรถไฟท่าแค เลี้ยวขวาข้ามสะพานประมาณ ๑ กิโลเมตร วัดท่าแคอยู่ทางด้านซ้ายมือ นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทางสายลพบุรี-วัดท่าแค บริการระหว่างเวลา ๐๖.๐๐-๑๘.๐๐ น.
อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก อยู่ในเขตตำบลนิคมสร้างตนเองห่างจากศาลากลางจังหวัดลพบุรีไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑๖ กิโลเมตร
อ่างซับเหล็กเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติที่มีมาแต่โบราณ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงโปรดให้ช่างชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียนเป็นผู้วางท่อส่งน้ำจากอ่างซับเหล็กนำมาในเขตพระราชฐาน
อ่างซับเหล็กมีเนื้อที่ประมาณ ๑,๗๖๐ ไร่ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้สร้างเขื่อนดินกั้นน้ำเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๐ จังหวัดลพบุรีได้ปรับปรุงอ่างซับเหล็กให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยทำถนนรอบอ่างเก็บน้ำ ปลูกต้นไม้และสร้างศาลาพักร้อน
อำเภอท่าวุ้ง
วัดไลย์
อยู่ริมน้ำบางขาม ในเขตตำบลเขาสมอคอน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยเสด็จไปที่วัดนี้ และทรงกล่าวไว้ในพระนิพนธ์เรื่องเที่ยวตามทางรถไฟไว้ว่า “วัดไลย์อยู่ริมน้ำบางขาม พ้นเขาสมอคอนไปทางทิศตะวันตกไม่ห่างนัก เป็นวัดเก่าชั้นแรกตั้งอยู่กรุงศรีอยุธยา แล้วปฏิสังขรณ์เมื่อรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ยังมีลายภาพของเก่าปั้นเรื่องทศชาติ และเรื่องปฐมสมโพธิงามน่าดูนัก ที่วัดไลย์นี้มีรูปพระศรีอาริย์เป็นของสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้คนนับถือกันมาแต่โบราณ เมื่อรัชกาลที่ ๕ ไฟป่าไหม้วิหารรูปพระศรีอาริย์ชำรุดไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้อัญเชิญลงมาปฏิสังขรณ์ในกรุงเทพฯ แล้วคืนกลับไปประดิษฐานอย่างเดิม ถึงช่วงเทศกาลราษฎรยังเชิญออกแห่เป็นประเพณีเมืองมาทุกปีมิได้ขาด” ปัจจุบันทางวัดได้ก่อสร้างวิหารสำหรับประดิษฐานพระศรีอาริย์ขึ้นใหม่ ด้านหน้าเป็นรูปมณฑปจตุรมุขแลดูสง่างามมาก นอกจากนี้แล้วยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น พระวิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนต้น คือ มีลักษณะเจาะช่องผนังแทนหน้าต่าง ภายในมีพระประธานขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ลงรักปิดทอง มีซุ้มเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ด้านหน้าและด้านหลังของพระวิหารมีภาพปูนปั้นเรื่องทศชาติ และเรื่องปฐมสมโพธิ ซึ่งนับว่าเป็นภาพประติมากรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญยิ่งชิ้นหนึ่งของชาตินอกจากนี้ยังมีพระอุโบสถ และวิหารรูปมณฑปยอดปรางค์อยู่ใกล้ ๆ กับพระวิหาร และพิพิธภัณฑ์ประจำวัดซึ่งมีของเก่าแก่มากมายให้ชม เช่น พระพุทธรูป เครื่องลายคราม เครื่องมือเครื่องใช้สมัยโบราณ และอื่น ๆ อีกมากมาย สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๔๘ ๙๑๐๕ หรือ สำนักพุทธศาสนา จังหวัดลพบุรี ๐๓๖ ๔๒๒๑๖๖
การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๑ (ลพบุรี - สิงห์บุรี) แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๐๒๘ ตรงสี่แยกไฟแดง(กม.ที่ ๑๘) เข้าไปอีกระยะทางประมาณ ๖ กิโลเมตร มีรถโดยสารประจำทางผ่านหลายสาย คือ สายลพบุรี - ท่าโขลง สายโคกสำโรง - บ้านหมี่ และสายสิงห์บุรี - บ้านหมี่
เขาสมอคอน
อยู่ในเขตตำบลเขาสมอคอน ไปตามเส้นทางสายลพบุรี-สิงห์บุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๑๘ เลี้ยวขวาเข้าไปอีก ๑๒ กิโลเมตร เป็นเทือกเขาที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ มีตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับเขาสมอคอนอยู่หลายเรื่องที่น่าสนใจจากหนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กล่าวไว้ว่า "เขาสมอคอนนี้เป็นที่อยู่ของ สุกกทันตฤาษี อาจารย์ของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช และพระยางำเมือง กษัตริย์เมืองพะเยา ซึ่งน่าจะเป็นราชวงศ์หนองแสโยนก เชียงแสน ทั้งสองพระองค์ เพราะเมื่อทรงพระเยาว์ ได้เสด็จมาศึกษาศิลปวิทยาที่เขาสมอคอนนี้ ซึ่งสมัยนั้นเป็นกษัตริย์เมืองลพบุรีก็เป็นราชวงศ์เดียวกัน"
มีวัดที่สำคัญบนเทือกเขานี้ ๔ วัดด้วยกัน คือ วัดบันไดสามแสน มีโบราณสถานคือ วิหารอยู่หน้าถ้ำ และพระอุโบสถเก่า สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา วัดถ้ำตะโกพุทธโสภา มีพระอุโบสถสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๗ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังศิลปะแบบพม่า และเจดีย์ทรงเรือสำเภา วัดถ้ำช้างเผือก บริเวณเชิงเขามีทำนบดินและอ่างเก็บน้ำโบราณ ประมาณว่าสร้างในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ร่วมสมัยกับอ่างเก็บน้ำและทำนบดินที่ตำบลทะเลชุบศร วัดเขาสมอคอน มีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ที่ทำบัวกลุ่มรองรับองค์ระฆังเป็นเจดีย์มีถ้ำเล็กๆ เรียกว่า ถ้ำพระนอน ภายในมีพระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ รัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จประพาสเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘ สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๕๒ ๑๑๕๙ หรือ สำนักพุทธศาสนา จังหวัดลพบุรี ๐๓๖ ๔๒๒๑๖๖
การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๑๑ (สายลพบุรี - สิงห์บุรี) ถึง กม.ที่ ๑๘ เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๐๒๘ ตรงสี่แยกไฟแดง เข้าไปอีกประมาณ ๑๒ กม. มีรถโดยสารประจำทางผ่าน ทางเข้าเขาสมอคอนบริเวณตลาดท่าโขลงหลายสาย คือ สายลพบุรี - ท่าโขลง โคกสำโรง –บ้านหมี่ และสายสิงห์บุรี-บ้านหมี่ หลังจากนั้นต้องเหมารถสองแถว หรือรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าไปจากปากทาง
อำเภอบ้านหมี่
อำเภอบ้านหมี่ เป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงในการทอผ้ามัดหมี่ ราษฎรส่วนใหญ่ของอำเภอบ้านหมี่ เป็นไทยพวนที่อพยพมาจากประเทศลาว เมื่อประมาณ ๑๓๐ ปีมาแล้ว และได้นำเอาชื่อบ้านเดิม คือ "บ้านหมี่" มาใช้เป็นชื่อบ้านอพยพมาตั้งหลักแหล่งใหม่นี้ด้วย
วัดธรรมิการาม หรือ วัดค้างคาว
ตั้งอยู่ริมน้ำบางขามฝั่งตะวันตก ตำบลบางขาม เหตุที่ชื่อวัดค้างคาวเพราะว่าเดิมมีค้างคาวอาศัยอยู่มาก ปัจจุบันไม่มีแล้วและได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “วัดธรรมิการาม” วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่อยู่ริมฝั่งคลองในหมู่ไม้ร่มรื่น สิ่งที่น่าชมของวัดนี้คือ มีภาพเขียนที่ผนังโบสถ์ ซึ่งเป็นภาพเขียนเรื่องพุทธประวัติทั้ง ๔ ด้าน ลักษณะของภาพเขียนมีลักษณะแบบตะวันตกเข้ามาปนบ้างแล้ว เช่นการแรเงาต้นไม้ และอื่นๆเป็นภาพเขียนในสมัยรัชกาลที่ ๔ ฝีมือช่างพื้นบ้านที่งดงามมาก สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๔๘ ๙๕๙๓ หรือ สำนักพุทธศาสนา จังหวัดลพบุรี ๐๓๖ ๔๒๒๑๖๖
การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๑ ( สายลพบุรี-สิงห์บุรี ) แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๐๒๘ ตรง กม.ที่ ๑๘ ( เส้นทางเดียวกับวัดไลย์)
วัดท้องคุ้ง
ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านพึ่ง สิ่งที่น่าสนใจ อุโบสถบนเรือสำเภากลางน้ำ ลักษณะอุโบสถสร้างบนเรือสำเภาลอยน้ำอยู่ในแม่น้ำบางขามนอกจากนี้ยังมีศาลาธรรมสังเวชสร้างประยุกต์เป็นรูปรถโดยสารประจำทาง
การเดินทาง ใช้เส้นทางเดียวกับวัดธรรมิการาม วัดท้องคุ้งอยู่ห่างมาอีกประมาณ ๒ กิโลเมตร มีบริการรถโดยสารประจำทาง สายลพบุรี-บ้านหมี่ ผ่านหน้าวัด
วัดท้องคุ้งท่าเลา
อยู่ริมถนนสายบางงา-บ้านหมี่ ตำบลบ้านพึ่ง สิ่งที่น่าสนใจ คือ ประตูทางเข้าวัดเป็นรูปหนุมานกำลังอ้าปาก ประดับกระจกสีสวยสะดุดตา เป็นความคิดริเริ่มของเจ้าอาวาสที่นำตำนาน เมืองลพบุรีที่เกี่ยวกับเรื่องรามเกียรติ์ มาประยุกต์ในการสร้าง สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๖๔ ๔๒๗๐ หรือ สำนักพุทธศาสนา จังหวัดลพบุรี ๐๓๖ ๔๒๒๑๖๖
วัดหนองเต่า (วัดพาณิชธรรมมิการาม)
อยู่ที่ตำบลหนองเต่า สิ่งที่น่าสนใจ คือ อุโบสถบนหลังเต่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำบลหนองเต่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงยกช่อฟ้าอุโบสถ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๗
การเดินทาง ห่างจากตัวเมืองบ้านหมี่ ๑๑ กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมถนนสายเลียบคลองชลประทาน
วัดเขาวงกฎ
เป็นวัดที่อยู่ในวงล้อมของภูเขาสามด้าน บริเวณกว้างขวางถึง ๓๐ ไร่ บนไหล่เขาด้านทิศตะวันตก มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ ถัดลงมามีศาลาเก็บศพหลวงพ่อเจริญ ติสวัณโณ อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมรณภาพไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ แต่ศพไม่เน่าเปื่อยหน้าวัดมีเจดีย์สร้างอยู่บนเรือสำเภา อนุสรณ์ของหลวงพ่อเภาผู้สร้างวัดนี้
สิ่งที่น่าสนใจมากคือ ถ้ำค้างคาว ซึ่งอยู่บนไหล่เขาเหนือพระอุโบสถ นับว่าเป็นถ้ำค้างคาวที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดลพบุรีภายในถ้ำมีค้างคาวนับล้านๆตัว รายได้จากค่ามูลค้างคาวที่เข้าวัดแต่ละปีเป็นเงินหลายหมื่นบาท ทุกวันตั้งแต่เวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. ค้างคาวจะพากันบินออกจากปากถ้ำไปหากิน ยาวเป็นสายคล้ายควันไฟ การบินออกหากินนี้จะติดต่อกันไปไม่หยุดจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. และจะเริ่มกลับเข้าถ้ำตั้งแต่เวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น. จึงจะหมด
การเดินทาง ใช้เส้นทางหมายเลข ๓๑๑ (ลพบุรี-สิงห์บุรี) เช่นเดียวกับวัดท้องคุ้ง จะถึงก่อนเข้าอำเภอบ้านหมี่ ประมาณ ๔ กิโลเมตร มีบริการรถโดยสารประจำทางสายลพบุรี-บ้านหมี่ ลงรถที่สถานีขนส่งบ้านหมี่ แล้วเหมารถรับจ้างจากบ้านหมี่เข้าไปยังวัดอีกครั้ง โทร. ๐ ๓๖๔๗ ๑๓๗๓ , ๐ ๓๖๖๒ ๙๓๗๓ หรือ สำนักงานพุทธศาสนา จังหวัดลพบุรี ๐๓๖ ๔๒๒๑๖๖
อำเภอโคกสำโรง
เขาวงพระจันทร์
บริเวณเชิงเขาเป็นที่ตั้งของวัดเขาวงพระจันทร์ จะมีทางบันไดขึ้นสู่ยอดเขาประมาณ ๓,๗๙๐ ขั้น ยอดเขานี้สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๖๕๐ เมตร ถ้าวัดจากเชิงเขาถึงยอดเขาโดยแนวบันไดจะยาว ๑,๖๘๐ เมตร ใช้เวลาเดินทางจากเชิงเขาถึงยอดเขาประมาณ ๒ ชั่วโมง สองข้างทางจะเต็มไปด้วยป่าไม้ขึ้นสลับซับซ้อนเต็มไปหมด บางแห่งจะเป็นที่ลาด บางแห่งจะเป็นที่ชัน เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาวงพระจันทร์จะมองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างได้ไกลสุดสายตา
ในหน้าเทศกาลเดือน ๓ ประชาชนโดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนทั้งใกล้และไกลจะหลั่งไหลกันมานมัสการรอยพระพุทธบาท และพระพุทธรูปบนยอดเขาแห่งนี้อย่างเนืองแน่นเป็นประจำทุกปีสิ่งก่อสร้างและรูปแบบของการแสดงความเคารพที่วัดนี้จึงค่อนข้างจะมีอิทธิพลจีนหรืฝ่ายมหายานอยู่มาก
เขาวงพระจันทร์ได้ชื่อว่าเป็นเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดลพบุรีและเป็นภูเขาที่สร้างชื่อเสียงให้ผู้คนรู้จักเมืองลพบุรีมาช้านานแล้วนอกจากนั้นภูเขานี้ยังเป็นที่มาแห่งตำนานเมืองเรื่องท้าวกกขนาก และเรื่องพระเจ้ากงจีน อีกด้วย สอบถามรายละเอียด โทร. ๐ ๓๖๖๕ ๐๑๘๘ หรือ สำนักงานพุทธศาสนา จังหวัดลพบุรี ๐๓๖ ๔๒๒๑๖๖
การเดินทาง มีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่ง สายลพบุรี - โคกสำโรง ผ่านทางหน้าวัด และเหมารถรับจ้างจากปากทางเข้าวัดเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร
อำเภอพัฒนานิคม
ทุ่งทานตะวัน
จังหวัดลพบุรีมีการปลูกทานตะวันมากที่สุดในประเทศไทย คือ ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐-๓๐๐,๐๐๐ ไร่ ดอกทานตะวันจะบานสะพรั่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน - มกราคม ทานตะวันเป็นพืชทนแล้ง เกษตรกรนิยมปลูกแทนข้าวโพด เมล็ดทานตะวันมีคุณค่าทางโภชนาการ นิยมใช้สกัดทำน้ำมันปรุงอาหาร หรืออบแห้ง เพื่อรับประทาน หรือใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง และยังสามารถเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพเสริมได้อีกด้วย จึงทำให้ได้ผลผลิต คือ น้ำผึ้งจากดอกทานตะวันอีกทางหนึ่ง แหล่งปลูกทานตะวัน กระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมืองลพบุรี อำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล พื้นที่ปลูกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริเวณเขาจีนแล ใกล้วัดเวฬุวัน ตำบลโคกตูม อำเภอเมืองลพบุรี
สอบถามบริเวณพื้นที่ปลูกทานตะวัน ก่อนการเดินทางได้ที่
บริเวณพื้นที่ปลูกทานตะวันอำเภอพัฒนานิคม
- ที่ว่าการอำเภอพัฒนานิคม โทร. ๐ ๓๖๔๙ ๑๔๓๓
- อบต.ชอนน้อย ๐ ๓๖๔๙ ๑๓๔๐
- อบต.ช่องสาริกา ๐ ๓๖๗๐ ๕๐๖๑
บริเวณพื้นที่ปลูกทานตะวันอำเภอเมืองลพบุรี
- ศูนย์สงครามพิเศษ ๐๓๖ ๔๒๒๗๗๔
- เทศบาลตำบลโคกตูม ๐๓๖ ๔๒๐๘๔๒
วัดพรหมรังสี
ตามประวัติความเป็นมาสืบเนื่องมาจากในสมัยหนึ่งสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ได้เดินธุดงค์และได้หยุดพักปักกลด ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาผู้ที่มีศรัทธาในพุทธศาสนาจึงได้ร่วมใจกันสร้างวัดและถวายนามนี้เป็นอนุสรณ์
วัดนี้มีพระอุโบสถทรงจัตุรมุข พระเจดีย์ทรงระฆังคล้ายพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชและสิ่งก่อสร้างอื่นที่มีความสวยงามรอบๆบริเวณมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยและมีการดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี ผู้ที่ผ่านไปมามักแวะชมวัดนี้เสมอ การเดินทางจากจังหวัดลพบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 3017 เส้นอำเภอพัฒนานิคม – เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อยู่ก่อนถึงสี่แยก ซอย ๑๒ ประมาณ ๑๐๐ เมตร โทร.๐ ๓๖๖๓ ๘๑๐๓ , ๐ ๓๖๔๓ ๖๑๑๐
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งอยู่ที่บ้านแก่งเสือเต้น ตำบลหนองบัว เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้กับเขื่อนแห่งนี้ สร้างภายใต้โครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำป่าสัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นเขื่อนดินแกนดินเหนียวที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว ๔,๘๖๐ เมตร ความสูงที่จุดสูงสุด ๓๖.๕๐ เมตรจุดเด่นที่น่าสนใจภายในเขื่อน ได้แก่ จุดชมวิวบริเวณสันเขื่อน พิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก ซึ่งแสดงความรู้ด้านธรรมชาติและวัฒนธรรมเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ นอกจากนี้มีบริการรถราง ผู้ใหญ่ ๒๕ บาท เด็ก ๑๐ บาท ใช้เวลาไป-กลับประมาณ ๕๐ นาที บริการวันจันทร์-ศุกร์ ๐๘.๐๐-๑๗.๐๐ น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ๐๗.๓๐-๑๘.๐๐ น. และทางเขื่อนยังมีบริการบ้านพักสวัสดิการชลประทานเขื่อนป่าสัก สอบถามรายละเอียดที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทร. ๐ ๓๖๔๙ ๔๒๔๓ , ๐ ๓๖๔๙ ๔๒๙๑ - ๒
หอคอยเฉลิมพระเกียรติ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จัดสร้างขึ้นโดยดำริของ นายจารุพงศ์ พลเดช อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทอดพระเกียรติบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ที่ทรงพระคุณอันประเสริฐแก่จังหวัดลพบุรีมาตั้งแต่โบราณกาล อาทิ สมัยพระนางเจ้าจามเทวี สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมัยจักรีวงศ์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดลพบุรี โดยได้จัดพื้นที่ภายในหอคอยเพื่อเข้าชมได้ดังนี้
-ในพื้นที่ชั้นล่าง (ชั้นที่หนึ่ง) มีพื้นที่ ๒๒๐ ตารางเมตร ถูกกำหนดเป็นห้องน้ำ ๔๐ ตารางเมตร คงเหลือ ๑๒๐ ตารางเมตร โดยด้านซ้ายมือจากประตูทางเข้าจะจัดทำเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับการเฉลิมพระเกียรติบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า จำนวน ๖๐ ตารางเมตร ประกอบด้วย พระบรมรูปของ พระนางเจ้าจามเทวี เสด็จพระนารายณ์มหาราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบรมฉายาลักษณ์ของจักรีวงศ์ ทั้ง๙ พระองค์ และมีการจัดแสดงสินค้าที่ผลิตขึ้นในจังหวัดลพบุรี เพื่อการประชาสัมพันธ์ และการจำหน่ายอีกด้วย โดยจะนำสินค้าชนิดเด่นจากทุกอำเภอภายในจังหวัดลพบุรีมาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตของจังหวัดลพบุรี และความพร้อมในการจำหน่ายด้วย ส่วนทางด้านขวามือมีพื้นที่ประมาณ ๖๐ ตารางเมตร จัดเป็นส่วนการประกอบการค้าขาย ในชั้น ๒ - ๗ ติดภาพเกียรติประวัติบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้ง ๔ ชุด
-ในพื้นที่ชั้นบน (ชั้นที่เจ็ด) สามารถชมทิวทัศน์ภูมิประเทศ และทัศนียภาพรอบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้รอบ ๓๖๐ องศา ค่าโดยสารลิฟท์ ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท นักเรียนในเครื่องแบบและเป็นหมู่คณะราคาพิเศษ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร.๐๘-๑๘๐๔-๐๕๕๙
การเดินทางจากตัวเมืองลพบุรี ใช้เส้นทางสายลพบุรี-โคกตูม-พัฒนานิคม (ทางหลวงหมายเลข ๓๐๑๗) ระยะทาง ๔๘ กิโลเมตร มีบริการรถสองแถวลพบุรี - วังม่วง ผ่านหน้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รถออกจากสถานีขนส่งลพบุรี ระหว่างเวลา ๐๖.๐๐-๑๗.๓๐ น.
นอกจากนี้ในช่วงปลายปียังมีบริการท่องเที่ยวทางรถไฟขบวนพิเศษ ไป-กลับ กรุงเทพฯ - เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ สอบถามรายละเอียดที่การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. ๐ ๒๒๒๐ ๔๓๓๔, ๑๖๙๐
การเดินทาง จากตัวเมืองลพบุรีใช้เส้นทางสายลพบุรี-โคกตูม-พัฒนานิคม (ทางหลวงหมายเลข ๓๐๑๗) ประมาณ ๒๕ กิโลเมตร ถึงสี่แยกไฟแดงปั๊มน้ำมันคาร์เท็กซ์เลี้ยวขวาประมาณ ๒ กิโลเมตรอยู่ทางด้านขวามือ
ศูนย์อนุรักษ์ผึ้ง
ตั้งอยู่เลขที่ ๒๘๐ ซอย ๒๔ สายตรี หมู่๙ ตำบลพัฒนานิคม เป็นศูนย์อบรมและเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงผึ้งพันธุ์ในประเทศไทย เป็นแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์เลี้ยงผึ้ง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผึ้งมากกว่า ๔๐ ชนิด เช่น น้ำผึ้งแท้จากดอกทานตะวัน นมผึ้ง เกสร เทียนไข ฯลฯ
การเดินทาง จากตัวเมืองลพบุรี ใช้เส้นทางสายลพบุรี - โคกตูม - พัฒนานิคม (ทางหลวงหมายเลข ๓๐๑๗) อยู่ก่อนถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ประมาณ ๓ กิโลเมตร มีบริการรถสองแถวลพบุรี - วังม่วง ผ่านทางเข้าสวนเหรียญทอง และจากนั้นต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ ๕๐๐ เมตร โทร.๐ ๓๖๖๓ ๙๒๙๒
พิพิธภัณฑ์เปิดบ้านโป่งมะนาว
อยู่ที่หมู่ ๗ ตำบลห้วยขุนราม อยู่ห่างจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ๒๖.๕ กิโลเมตร เป็นแหล่งโบราณคดีมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อายุประมาณ ๒,๕๐๐-๓,๐๐๐ ปี ประมาณยุค "บ้านเชียงตอนปลาย" มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณถึง ๑๓ โครงกระดูก ภายในหลุมเดียวกัน ทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยขุนราม โทร. ๐ ๓๖๔๕ ๑๐๐๙ , ๐๘ ๑๒๙ ๔๗๗๙๐
การเดินทาง จากตัวเมืองลพบุรีใช้เส้นทางสายลพบุรี-โคกตูม-พัฒนานิคม-อ.วังม่วง (สระบุรี) เข้าทางเดียวกับน้ำตกสวนมะเดื่อไม่มีรถประจำทางผ่าน
อำเภอชัยบาดาล
สวนรุกขชาติน้ำตกวังก้านเหลือง
ตั้งอยู่ที่หมู่ ๔ ตำบลท่าดินดำ น้ำตกวังก้านเหลืองนี้ มีน้ำไหลตลอดทั้งปีเนื่องจากมีต้นน้ำเกิดจากตาน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ห่างจากบริเวณน้ำตกประมาณ ๑.๕ กิโลเมตรสอบถามรายละเอียด
การเดินทางจากตัวเมืองลพบุรีไปน้ำตกวังก้านเหลืองใช้เส้นทางสายลพบุรี - โคกสำโรง (ทางหลวงหมายเลข ๑) - ชัยบาดาล (ทางหลวงหมายเลข ๒๐๕) ถึงบริเวณที่บรรจบกับทางหลวงหมายเลข ๒๑ แล้วต่อเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๘๙ ไปอำเภอท่าหลวงประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าตัวน้ำตกอีกประมาณ ๗ กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกวังก้านเหลืองซึ่งจะอยู่ทางขวามือ โทร. ๐๓๖ – ๓๔๗๑๐๕ – ๖
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์
ตั้งอยู่ในท้องที่บางส่วนของ ตำบลซับตะเคียน ตำบลหนองยายโต๊ะ ตำบลบัวชุม และตำบลนาโสม มีเนื้อที่ประมาณ ๘,๔๔๐ ไร่ ได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่าเขาสมโภชน์ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์ เป็นเทือกเขาหินปูน มีลักษณะสูงชันยาวทอดตัวไปตามแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีถ้ำและหน้าผาจำนวนมาก มีที่ราบในหุบเขา ๒ แห่ง และที่ราบบนเขา ๑ แห่ง มีแหล่งน้ำซับกระจายอยู่ทั่วไป จึงเป็นป่าต้นน้ำที่มีความสำคัญมาก นอกจากนี้ภายในบริเวณเขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่าเขาสมโภชน์ มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะที่วัดถ้ำพรหมโลก ค้นพบขวานหินตัด ยุคสมัยหินตอนปลาย อายุราว ๓,๐๐๐ ปี ใบหอกสำริดภาชนะดินเผาในยุคโลหะ อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปี พระพุทธรูปสลักด้วยไม้สมัยอยุธยาตอนปลาย หรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓-๒๔
สถานที่ติดต่อ เขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่าเขาสมโภชน์ ตู้ ปณ.๑๙ ปทจ.ลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ๑๕๑๓๐ โทร. ๐๘ ๙๕๘๑ ๑๑๒๘ หรือ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลพบุรี โทร. ๐ ๓๖๔๒ ๒๗๗๗
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑ ถึงทางแยกขวาเข้าอำเภอชัยบาดาล ใช้เส้นทางหมายเลข ๒๐๕ จากอำเภอชัยบาดาลไปอำเภอลำสนธิ ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ถึงวัดเขาตำบลด้านซ้ายมือ แล้วเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางเข้าสู่วัดถ้ำพรหมโลก ระยะทาง ๗ กิโลเมตร ถึงที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์
วัดป่าศรีมหาโพธิ์วิปัสสนา
๒๙/๑ หมู่ ๔ หมู่บ้านศรีมหาโพธิ์พัฒนาธานี ตำบลบัวชุม เป็นสถานที่วิปัสสนาของชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นวัดรักษาโรคของหลวงพ่อคง จตมโล ผู้สนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ คุณกัญญา โทร. ๐๘ ๙๗๔๖ ๑๑๑๗ หรือ คุณแดง(การบินไทย) เป็นผู้ให้ข้อมูล โทร. ๐ ๒๕๑๑ ๐๕๕๐, ๐ ๒๕๑๒ ๑๘๕๙
ไร่ชัยนารายณ์
ตั้งอยู่ที่ตำบลชัยนารายณ์ ทางหลวงหมายเลข ๒๑ (สระบุรี-หล่มสัก) กิโลเมตรที่ ๖๔ เข้าซอยตรงข้ามป้อมตำรวจชุมชนตำบลหนองเต่า ผ่านวัดธารรัฐการามเลี้ยวซ้าย ไปประมาณ ๓ กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บนเนื้อที่ ๑,๐๙๖ ไร่ภายในประกอบด้วยสวนสุขภาพ ฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ เช่น ม้า แพะ แกะ กระต่าย ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลา ฟาร์มพืชเกษตรล้มลุก สวนสมุนไพร สวนพักผ่อนและสันทนาการ ประกอบด้วยสนามยิงปืน สนามจักรยานเสือภูเขา สวนอาหาร แค้มป์ปิ้ง สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐๘ ๑๗๒๐ ๓๖๐๖, ๐๘ ๑๔๔๗ ๐๕๒๐
วัดเขาสมโภชน์ วัดนี้เป็นหนึ่งสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนจำนวนมากหาเวลาเข้าเยี่ยมเยือนเพื่อตั้งจิตและฝึกสมาธิ โดยการปฏิบัติธรรม และทำวิปัสนากรรมฐาน ซึ่งวัดมีพื้นที่ติดกับภูเขาร่มรื่นด้วยแมกไม้ สงบเหมาะกับการปฏิบัติธรรม
การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว : จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางพลโยธินหมายเลย 1 ผ่าน อ.วังน้อย – อ.หนองแค ไปทาง จ.สระบุรี ก่อนถึงตัวเมืองสระบุรี เลี้ยวซ้ายใช้ถนนสายเลี่ยงเมืองสระบุรี - ลพบุรี เพชรบูรณ์ ถึงแยกพุแคชิดขวาเปลี่ยนเส้นทางจาก พลโยธินหมายเลข 1 เป็นหมายเลข 21 ไปทางเพชรบูรณ์ ประมาณ 50 ก.ม. ถึงแยกม่วงค่อม เลี้ยวขวาไปทาง อ.ท่าหลวง ใช้ ถนนหมายเลข 205 ข้ามทาง รถไฟ แล้วมุ่งตรงไปยัง อ.ด่านขุนทด ทางหลวงหมายเลข 2256 ผ่านตลาดท่าหลวงไปอีกประมาณ 20 ก.ม. ถึงสามแยกเลี้ยวซ้ายเข้า ต.บัวชุม ทางหลวงหมายเลข 2257 อีก 5 ก.ม. ถึงวัดวัดเขาสมโภชน์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ประชาสัมพันธ์วัดเขาสมโภชน์ โทร.085 – 8045259 , 086 – 0105443
รถประจำทาง : รถตู้ปรับอากาศ ออกจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 11.00 น. , 14.00 น. , 17.00 น. ท่ารถหน้าโรงพยาบาลราชวิถีติดต่อท่ารถปักธงชัย สำรองที่นั่ง 081 – 7804671 , 081 – 9227206 036 - 497075
รถบัส บขส. ป.1 ป.2 สายกรุงเทพฯ – ลพบุรี ถึง บขส.ลพบุรี ต่อรถ ลพบุรี – เขาน้อย (2300) ลงหน้าทางเข้าวัด ต.บัวชุม ต่อมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าวัดเขาสมโภชน์
อำเภอลำสนธิ
ปรางค์นางผมหอม อยู่ห่างจากตลาดหนองรี ประมาณ ๔ กิโลเมตร ในเขตบ้านโคกคลี ไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๐๕ กิโลเมตรที่ ๒๖๙ ลักษณะของปรางค์นางผมหอมนี้ เป็นปรางค์องค์เดียวโดด ๆ ก่อด้วยอิฐไม่ถือปูน เช่นเดียวกับเทวสถานปรางค์แขก สภาพปัจจุบันยอดหักลงมาหมดแล้ว มีประตูเข้าภายในปรางค์ได้ ภายในปรางค์เป็นห้องโถง กรอบประตูสร้างด้วยแท่งหิน รอบๆปรางค์ยังมีหินก้อนใหญ่อยู่เกลื่อนกลาด ห่างจากปรางค์นางผมหอมไม่มากนักเป็นด่านกักสัตว์บ้านโคกคลี เป็นเนินดินมีซากอิฐ เข้าใจว่าเป็นฐานวิหาร หรือเจดีย์ ชาวบ้านเรียกโคกคลีน้อย ยังมีเนินกว้างอีกแห่งหนึ่งเรียกโคกคลีใหญ่ ที่ตั้งของปรางค์นางผมหอมมีแม่น้ำมาบรรจบกันสองสาย คือ ลำสนธิกับลำพระยากลาง สันนิษฐานว่าสถานที่แห่งนี้แต่เดิมเป็นเมืองโบราณ และจากการขุดแต่งโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ พบหลักฐานเพิ่มเติม คือ ชิ้นส่วนของเครื่องประดับตกแต่งองค์ปรางค์ ทำด้วยหินทรายเป็นรูปสตรีนุ่งผ้าตามศิลปะเขมรแบบบายน สันนิษฐานว่าปรางค์องค์นี้มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สำนักงาน กรมศิลปากรที่ ๔ โทร.๐ ๓๖๔ ๑๒๕๑๐
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ตั้งอยู่ที่บ้านลังกาเชื่อม ตำบลลำสนธิ ตำบลกุดตาเพชร มีเนื้อที่ประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๙๖,๘๗๕ ไร่ เป็นที่ราบอยู่ในหุบเขา ถูกกั้นด้วยเทือกเขาพังเพย ทิศตะวันตกเป็นเขารวก สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ๑๔๐-๘๔๖ เมตร ความสำคัญของพื้นที่ คือ ป่าซับลังกามีสภาพสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำลำสนธิ และแหล่งอาหารของสัตว์ป่า ปัจจุบันยังมีเลียงผา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวนอาศัยอยู่
เส้นทางศึกษาธรรมชาติจัดไว้ ๒ เส้นทาง เส้นแรกคือ ห้วยพริก-น้ำตกผาผึ้ง-ถ้ำผาผึ้ง ระยะทางไป-กลับประมาณ ๓,๒๐๐ เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ ๒ ชั่วโมง ๓๐ นาที เป็นเส้นทางที่ไม่ลำบากเกินไปนักสำหรับนักท่องธรรมชาติหน้าใหม่ ระหว่างเส้นทางจะผ่านน้ำตกผาผึ้ง ซึ่งเป็นน้ำตกเล็ก ๆ แต่มีความสวยงามเพราะบรรยากาศรอบข้างที่ร่มรื่นด้วยไม่ใหญ่นานาพรรณและเหมาะสำหรับเป็นจุดพักระหว่างทาง และหากชื่นชมธรรมชาติด้วยความสงบอาจมีโอกาสได้เห็นสัตว์เล็ก ๆ เช่น เต่า และนกต่าง ๆ ออกมาให้ได้ยลโฉมจากนั้นเดินต่อไปยังถ้ำผาผึ้งก่อนที่จะต้องใช้ฝีมือในการปีนป่ายหินแหลมคมเพื่อชมดงจันทร์ผาซึ่งเป็นไม้ดึกดำบรรพ์ที่มีรูปทรงงดงามและในช่วงปลายฝนต้นหนาวกล้วยไม้รองเท้านารีที่ซ่อนตัวอยู่ในดงจันทร์ผานี้จะเบ่งบานพร้อมกันในฤดูนี้
สำหรับจุดเริ่มต้นเดินเท้าเส้นทางนี้คือ ห้วยแม่พริก ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการเป็นระยะทาง ๙ กิโลเมตร ต้องใช้รถที่สภาพดี กำลังดี พร้อมที่จะลุยทางลูกรังที่ค่อนข้างเละ แต่ผู้ที่ไม่มีรถและไปกันเป็นคณะสามารถว่าจ้างรถอีแต๋นของชาวบ้านซึ่งเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นทางอ้อมด้วย โดยติดต่อล่วงหน้า โทร. ๐ ๓๖๔๕ ๑๙๓๖
อีกเส้นทางหนึ่งคือ ห้วยประดู่เริ่มต้นด้วยการล่องแพ ซึ่งจุคนได้ประมาณ ๓๕ คน ไปยังจุดเริ่มต้นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติซึ่งมีระยะทาง ๑,๕๐๐ เมตร ระหว่างเส้นทางเดินสามารถชมถ้ำสมุยกุยและถ้ำพระนอกได้ ใช้เวลาสำหรับเส้นทางนี้ประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที
สิ่งที่ควรนำไปด้วย สำหรับการเที่ยวที่ซับลังกา คือ รองเท้าที่กระชับรัดกุมเพื่อความคล่องตัวในการเดินย่ำน้ำตกและโขดหินลื่น หรือปีนป่ายหน้าผาหินแหลมคม ยาทากันยุง และที่สำคัญ คือ จิตสำนึกในการเป็นนักท่องธรรมชาติที่ดี
การเดินทาง ไปยังที่ทำการเขตฯใช้เส้นทางหมายเลข ๒๐๕ จากอำเภอชัยบาดาลไปอำเภอลำสนธิ ประมาณ ๓๑ กิโลเมตร จะมีทางแยกเข้าตำบลกุดตาเพชร ระยะทางประมาณ ๓๗ กิโลเมตร ติดต่อขออนุญาตเข้าพื้นที่ล่วงหน้าได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ตำบลกุดตาเพชร อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี โทร. ๐ ๓๖๔๕ ๑๙๓๖ , ๐ ๓๒๘๕ ๑๗๗๓ , ๐๘ ๗๑๑๙ ๑๘๙๓
แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ทหาร
ลพบุรี เป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศมาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงถูกเลือกให้เป็นที่มั่นแห่งที่ ๒ ของประเทศมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา การพัฒนาด้านการทหารของจังหวัดลพบุรี ปรากฏว่าเด่นชัดในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้กิจการด้านการทหารของลพบุรีมีความสำคัญมากเป็นอันดับ ๒ รองจากกรุงเทพมหานคร กิจกรรมด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ทหารหน่วยต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
กิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (อ.เมือง) ได้แก่ การสาธิตการดำรงชีพในป่า การกระโดดหอสูง ๓๔ ฟุต การฝึกกระโดดร่มจากบอลลูน การยิงปืน ไต่หน้าผา ทัวร์ป่าทางทหาร และชมพิพิธภัณฑ์ทหารรบพิเศษ ซึ่งจัดแสดงภาพและอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการ และภาพกิจกรรมต่าง ๆ ของหน่วยรบพิเศษ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
กิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ทหารค่าย A03 (อ.เมือง) ทางเข้าอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก ตำบลโคกตูม เป็นศูนย์รวมกิจกรรมในรูปแบบของการทดสอบกำลังใจและการดำรงชีวิตแบบทหาร อาทิ การกระโดดหอสูง ๓๔ ฟุต ไต่หน้าผาจำลอง ยิงปืน สะพานเชือก พายเรือแคนู
สถานที่ติดต่อ กองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุณาติดต่อล่วงหน้าอย่างน้อย ๑ สัปดาห์ สำหรับกิจกรรมค่ายพักแรม ๓๐ คน โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๒๑๙๒ (ในเวลาราชการ) หรือ ๐๘ ๑๙๔๗ ๒๘๐๐ (นอกเวลาราชการ) หรือ www.army.mi.th
แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (อ.เมือง) ได้แก่ สถาปัตยกรรมสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้แก่ ตึกชาโต้ (ตึกบัญชาการเขาน้ำโจน) ตึกพิบูลสงคราม และยังมีพิพิธภัณฑ์จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิพิธภัณฑ์ทหารปืนใหญ่ พิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา และอุทยานพฤกษศาสตร์ เปิดในวันเวลาราชการ หากต้องการเข้าชมวันเสาร์อาทิตย์ กรุณาติดต่อล่วงหน้า
สถานที่ติดต่อ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวศูนย์การทหารปืนใหญ่ โทร. ๐ ๓๖๔๘ ๖๔๓๓-๔ ต่อ ๓๙๑๐๔
แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่มณฑลทหารบกที่ ๑๓ (อ.เมือง) ได้แก่ สนามกอล์ฟ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เปิดบริการสำหรับบุคคลภายนอก ค่า Green Fee (๑๘ หลุม) เปิดทุกวัน ๐๕.๓๐-๑๗.๓๐ น.
สถานที่ติดต่อ มทบ.๑๓ โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๓๑๓๓, ๐ ๓๖๔๒ ๒๗๓๔-๕ ต่อ ๓๗๓๙๓
แหล่งท่องเที่ยวภายในโรงพยาบาลอานันมหิดล (อ.เมือง) ได้แก่ ห้องแสดงพระราชประวัติรัชกาลที่ ๘ อยู่ภายในตึกอำนวยการโรงพยาบาลอานันทมหิดล จัดแสดงพระราชประวัติเมื่อครั้งเสด็จมาเปิดโรงพยาบาล เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๑
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลอานันทมหิดล โทร. ๐๓๖ – ๔๑๔๓๕๐ – ๕
แหล่งหัตถกรรมและสินค้าพื้นเมือง
อำเภอเมืองลพบุรี
หมู่บ้านดินสอพอง
ลพบุรีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตดินสอพองที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งเดียวในประเทศไทย แหล่งผลิตอยู่ที่หมู่บ้านหินสองก้อน ตำบลทะเลชุบศร (ริมคลองชลประทาน บริเวณสะพาน ๖) เป็นหมู่บ้านที่มีการทำดินสอพองกันแทบทุกครัวเรือน และบริเวณนั้นจะมีดินสีขาว เรียกกันว่า ดินมาร์ล มีเนื้อเนียนขาวละเอียดแน่นจึงไม่เหมาะแก่การปลูกพืช แต่ด้วยภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นได้นำมาผลิตเป็นดินสอพอง ซึ่งสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด เช่น แป้ง เครื่องสำอาง ยาสีฟัน ตกแต่งผิวเครื่องเรือน เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ
ผู้ใหญ่ใหญ่ โทร. ๐ ๓๖๖๓ ๖๑๗๘
อบต.ทะเลชุบศร โทร. ๐ ๓๖๖๑ ๑๔๓๘
คุณน้อย โทร. ๐๘ ๖๐๑๓ ๖๔๒๘
ศูนย์โอท็อปทะเลชุบศร ม.๕ ถ.ศรีอินทราทิตย์ (สะพาน๖) ต.ทะเลชุบศร โทร.๐๘ ๗๖๖๖ ๙๕๔๑ (เปิด ๐๘.๐๐-๑๙.๐๐ น.)
ไข่เค็มดินสอพอง ของฝากที่มีชื่อเสียงของลพบุรี โดยนำดินสอพองมาผสมกับเกลือและน้ำตามสัดส่วน นำมาพอกไข่เค็มดินสอพองลพบุรี ไม่เค็มมากนัก สามารถนำไปทำไข่หวาน ไข่ดาว ไข่ต้ม และปรุงอาหารได้ ที่ขึ้นชื่อ คือ ไข่เค็มผัดพริกขิง
แหล่งผลิตได้แก่
การหล่อโลหะ(ทองเหลือง) ชุมชนบ้านท่ากระยาง
เป็นที่รวมของบ้านช่างหล่อทองเหลืองซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ทำสืบทอดกันมายาวนาน มีการหล่อพระพุทธรูปด้วยทองเหลือง หล่อรูปต่าง ๆ และหล่อผลิตภัณฑ์เลียนแบบของเก่าด้วย ปัจจุบันมีการรวมตัวกันเป็นชมรมช่างหล่อทองเหลืองบ้านท่ากระยาง มีศูนย์รวมการผลิตและจำหน่าย อยู่ที่ ๑๖๘ หมู่ ๑ ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง โทร. ๐ ๓๖๔๒ ๑๔๖๙
อำเภอบ้านหมี่
หมู่บ้านทอผ้ามัดหมี่
เป็นแหล่งทอผ้าพื้นเมืองลายเอกลักษณ์ของชาวไทยพวน เรียกว่า มัดหมี่ ปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบลายผ้าและสีให้ทันสมัยยิ่งขึ้น นับเป็นแหล่งทอผ้ามัดหมี่ที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยมของประเทศ มีการรวมกลุ่มกันทอตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในแถบ ตำบลบ้านกล้วย ตำบลบ้านทราย ตำบลหินปัก
ศูนย์สาธิตและจำหน่าย ได้แก่
- กลุ่มทอผ้าบ้านหมี่ ๘๐ หมู่ ๑ ตำบลบ้านกล้วย (ไปตามถนนสายบ้านหมี่-โคกสำโรง ประมาณ ๒ กิโลเมตร) โทร. ๐ ๓๖๔๗ ๑๙๐๔ , ๐๘๗ ๐๐๖๑๘๙๗
ส้มฟัก เป็นอาหารที่ทำจากการหมักเนื้อปลาด้วยเกลือ ข้าวสุกบด และกระเทียมดองนำมานวดจนแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วหมักเช่นเดียวกับหมักแหนม เนื้อปลาที่ใช้เป็นเนื้อปลาที่มีสีขาวละเอียด เช่น ปลากราย ปลาสลาด ปลายี่สก ใช้เวลาหมัก ๓ วัน จึงจะเปรี้ยวได้ที่ รับประทานเป็นกับแกล้ม แหล่งผลิตอยู่ที่อำเภอบ้านหมี่
ปลาส้ม เป็นอาหารที่นิยมกันมากอีกชนิดหนึ่ง ใช้ปลาตะเพียนขอดเกล็ดผ่าท้องควักไส้ออก คลุกเกลือให้ทั่วตัวปลา แล้วนำข้าวสุกผสมกระเทียมใส่เข้าไปในท้องปลา หมักจนได้ที่ เวลารับประทานนำมาทอดให้สุกจะมีกลิ่นหอม เนื้อปลามีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ติดต่อได้ที่ ประกอบจิตร์ โทร. ๐๘ ๑๙๐๓ ๙๘๕๕ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุม จังหวัดลพบุรี โทร.๐ ๓๖๗๗ ๐๒๒๑
อำเภอท่าวุ้ง
วุ้นน้ำมะพร้าว
ของฝากขึ้นชื่อของลพบุรี ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยผลิตในรูปของอาหาร (ของหวาน) ใช้รับประทานกับน้ำแข็ง ตัววุ้นเกิดจากกระบวนการหมักน้ำส้มสายชูด้วยน้ำมะพร้าวกับจุลินทรีย์ที่ผลิตกรดน้ำส้ม จะเกิดแผ่นวุ้นลอยบนผิวหน้าของน้ำส้มสายชูหมัก มีสีขาวคล้ายดอกเห็ด จะขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาของการหมัก เรียกกันว่า "เห็ดวุ้นน้ำมะพร้าว" หรือ "วุ้นมะพร้าว" หลังจากนั้นก็จะนำแผ่นวุ้นมาผสมกับน้ำเชื่อมรสต่าง ๆ บรรจุขวด
แหล่งผลิต ได้แก่
- โรงงานน้ำทิพย์วุ้นมะพร้าว ๑๑๐ หมู่ ๙ ตำบลบางขันหมาก โทร. ๐ ๓๖๔๒ ๐๕๙๐
- ณัฐธิดาฟาร์ม ๘๒ หมู่ ๖ ตำบลโพตลาดแก้ว อำเภอท่าวุ้ง โทร. ๐ ๓๖๖๔ ๕๑๕๐ , ๐๘ ๑๘๖๘ ๔๙๘๗
อำเภอโคกสำโรง
หมู่บ้านแกะสลักหินทราย
ผลิตกับแทบทุกครัวเรือนที่บ้านหนองแล้ง ตำบลเพนียด โดยนำหินทรายบริเวณเชิงเขามาแกะสลักในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทำเป็นผลิตภัณฑ์เลียนแบบของเก่า วัสดุแต่งสวน พระพุทธรูป ใบเสมาและลูกนิมิต เป็นต้น โทร ๐๘ ๖๑๓๒ ๙๘๒๙ , ๐๘ ๑๙๘๔ ๖๓๙๓
อำเภอพัฒนานิคม
ผลิตภัณฑ์จากเปลือกข้าวโพด
ในพื้นที่ของอำเภอพัฒนานิคม มีการปลูกข้าวโพดกันมาก เมื่อมีการเก็บผลผลิตแล้ว จะนำเปลือกข้าวโพดมาตากแห้ง จากนั้นนำมาย้อมสีและประดิษฐ์เป็นงานหัตถกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น ดอกไม้ ตุ๊กตา พวงกุญแจ เป็นต้น
มีการรวมกลุ่มกันผลิตและจำหน่ายที่หมู่บ้านค้ำคูน (ซอย ๒๑) เลขที่ ๓๓ หมู่ ๗ ตำบลพัฒนานิคม
นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และผลไม้ตามฤดูกาลที่น่าสนใจ เช่น เสื่อทอ ที่ตำบลบ้านท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จักสานผักตบชวา ที่ตำบลบ้านเบิก ตำบลบางลี่ อำเภอท่าวุ้ง กระท้อน ที่ตำบลตะลุง อำเภอเมืองลพบุรี น้อยหน่า (พันธุ์ปุยฝ้าย) ที่บ้านน้ำจั้น อำเภอเมืองลพบุรี เป็นต้น โทร. ๐ ๓๖๖๓ ๙๑๐๕ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุม จังหวัดลพบุรี โทร.๐ ๓๖๗๗ ๐๒๒๑
อำเภอชัยบาดาล
สวนรุกขชาติน้ำตกวังก้านเหลือง
ตั้งอยู่ที่หมู่ ๔ ตำบลท่าดินดำ น้ำตกวังก้านเหลืองนี้ มีน้ำไหลตลอดทั้งปีเนื่องจากมีต้นน้ำเกิดจากตาน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ห่างจากบริเวณน้ำตกประมาณ ๑.๕ กิโลเมตรสอบถามรายละเอียด
การเดินทางจากตัวเมืองลพบุรีไปน้ำตกวังก้านเหลืองใช้เส้นทางสายลพบุรี - โคกสำโรง (ทางหลวงหมายเลข ๑) - ชัยบาดาล (ทางหลวงหมายเลข ๒๐๕) ถึงบริเวณที่บรรจบกับทางหลวงหมายเลข ๒๑ แล้วต่อเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๘๙ ไปอำเภอท่าหลวงประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าตัวน้ำตกอีกประมาณ ๗ กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกวังก้านเหลืองซึ่งจะอยู่ทางขวามือ โทร. ๐๓๖ – ๓๔๗๑๐๕ – ๖
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์
ตั้งอยู่ในท้องที่บางส่วนของ ตำบลซับตะเคียน ตำบลหนองยายโต๊ะ ตำบลบัวชุม และตำบลนาโสม มีเนื้อที่ประมาณ ๘,๔๔๐ ไร่ ได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่าเขาสมโภชน์ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์ เป็นเทือกเขาหินปูน มีลักษณะสูงชันยาวทอดตัวไปตามแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีถ้ำและหน้าผาจำนวนมาก มีที่ราบในหุบเขา ๒ แห่ง และที่ราบบนเขา ๑ แห่ง มีแหล่งน้ำซับกระจายอยู่ทั่วไป จึงเป็นป่าต้นน้ำที่มีความสำคัญมาก นอกจากนี้ภายในบริเวณเขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่าเขาสมโภชน์ มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะที่วัดถ้ำพรหมโลก ค้นพบขวานหินตัด ยุคสมัยหินตอนปลาย อายุราว ๓,๐๐๐ ปี ใบหอกสำริดภาชนะดินเผาในยุคโลหะ อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปี พระพุทธรูปสลักด้วยไม้สมัยอยุธยาตอนปลาย หรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓-๒๔
สถานที่ติดต่อ เขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่าเขาสมโภชน์ ตู้ ปณ.๑๙ ปทจ.ลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ๑๕๑๓๐ โทร. ๐๘ ๙๕๘๑ ๑๑๒๘ หรือ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลพบุรี โทร. ๐ ๓๖๔๒ ๒๗๗๗
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑ ถึงทางแยกขวาเข้าอำเภอชัยบาดาล ใช้เส้นทางหมายเลข ๒๐๕ จากอำเภอชัยบาดาลไปอำเภอลำสนธิ ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ถึงวัดเขาตำบลด้านซ้ายมือ แล้วเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางเข้าสู่วัดถ้ำพรหมโลก ระยะทาง ๗ กิโลเมตร ถึงที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาสมโภชน์
วัดป่าศรีมหาโพธิ์วิปัสสนา ๒๙/๑ หมู่ ๔ หมู่บ้านศรีมหาโพธิ์พัฒนาธานี ตำบลบัวชุม เป็นสถานที่วิปัสสนาของชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นวัดรักษาโรคของหลวงพ่อคง จตมโล ผู้สนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ คุณกัญญา โทร. ๐๘ ๙๗๔๖ ๑๑๑๗ หรือ คุณแดง(การบินไทย) เป็นผู้ให้ข้อมูล โทร. ๐ ๒๕๑๑ ๐๕๕๐, ๐ ๒๕๑๒ ๑๘๕๙
ไร่ชัยนารายณ์ ตั้งอยู่ที่ตำบลชัยนารายณ์ ทางหลวงหมายเลข ๒๑ (สระบุรี-หล่มสัก) กิโลเมตรที่ ๖๔ เข้าซอยตรงข้ามป้อมตำรวจชุมชนตำบลหนองเต่า ผ่านวัดธารรัฐการามเลี้ยวซ้าย ไปประมาณ ๓ กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บนเนื้อที่ ๑,๐๙๖ ไร่ภายในประกอบด้วยสวนสุขภาพ ฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ เช่น ม้า แพะ แกะ กระต่าย ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลา ฟาร์มพืชเกษตรล้มลุก สวนสมุนไพร สวนพักผ่อนและสันทนาการ ประกอบด้วยสนามยิงปืน สนามจักรยานเสือภูเขา สวนอาหาร แค้มป์ปิ้ง สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐๘ ๑๗๒๐ ๓๖๐๖, ๐๘ ๑๔๔๗ ๐๕๒๐
วัดเขาสมโภชน์ วัดนี้เป็นหนึ่งสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนจำนวนมากหาเวลาเข้าเยี่ยมเยือนเพื่อตั้งจิตและฝึกสมาธิ โดยการปฏิบัติธรรม และทำวิปัสนากรรมฐาน ซึ่งวัดมีพื้นที่ติดกับภูเขาร่มรื่นด้วยแมกไม้ สงบเหมาะกับการปฏิบัติธรรม
การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว : จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางพลโยธินหมายเลย 1 ผ่าน อ.วังน้อย – อ.หนองแค ไปทาง จ.สระบุรี ก่อนถึงตัวเมืองสระบุรี เลี้ยวซ้ายใช้ถนนสายเลี่ยงเมืองสระบุรี - ลพบุรี เพชรบูรณ์ ถึงแยกพุแคชิดขวาเปลี่ยนเส้นทางจาก พลโยธินหมายเลข 1 เป็นหมายเลข 21 ไปทางเพชรบูรณ์ ประมาณ 50 ก.ม. ถึงแยกม่วงค่อม เลี้ยวขวาไปทาง อ.ท่าหลวง ใช้ ถนนหมายเลข 205 ข้ามทาง รถไฟ แล้วมุ่งตรงไปยัง อ.ด่านขุนทด ทางหลวงหมายเลข 2256 ผ่านตลาดท่าหลวงไปอีกประมาณ 20 ก.ม. ถึงสามแยกเลี้ยวซ้ายเข้า ต.บัวชุม ทางหลวงหมายเลข 2257 อีก 5 ก.ม. ถึงวัดวัดเขาสมโภชน์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ประชาสัมพันธ์วัดเขาสมโภชน์ โทร.085 – 8045259 , 086 – 0105443
รถประจำทาง : รถตู้ปรับอากาศ ออกจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 11.00 น. , 14.00 น. , 17.00 น. ท่ารถหน้าโรงพยาบาลราชวิถีติดต่อท่ารถปักธงชัย สำรองที่นั่ง 081 – 7804671 , 081 – 9227206 036 - 497075
รถบัส บขส. ป.1 ป.2 สายกรุงเทพฯ – ลพบุรี ถึง บขส.ลพบุรี ต่อรถ ลพบุรี – เขาน้อย (2300) ลงหน้าทางเข้าวัด ต.บัวชุม ต่อมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าวัดเขาสมโภชน์
อำเภอลำสนธิ
ปรางค์นางผมหอม อยู่ห่างจากตลาดหนองรี ประมาณ ๔ กิโลเมตร ในเขตบ้านโคกคลี ไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๐๕ กิโลเมตรที่ ๒๖๙ ลักษณะของปรางค์นางผมหอมนี้ เป็นปรางค์องค์เดียวโดด ๆ ก่อด้วยอิฐไม่ถือปูน เช่นเดียวกับเทวสถานปรางค์แขก สภาพปัจจุบันยอดหักลงมาหมดแล้ว มีประตูเข้าภายในปรางค์ได้ ภายในปรางค์เป็นห้องโถง กรอบประตูสร้างด้วยแท่งหิน รอบๆปรางค์ยังมีหินก้อนใหญ่อยู่เกลื่อนกลาด ห่างจากปรางค์นางผมหอมไม่มากนักเป็นด่านกักสัตว์บ้านโคกคลี เป็นเนินดินมีซากอิฐ เข้าใจว่าเป็นฐานวิหาร หรือเจดีย์ ชาวบ้านเรียกโคกคลีน้อย ยังมีเนินกว้างอีกแห่งหนึ่งเรียกโคกคลีใหญ่ ที่ตั้งของปรางค์นางผมหอมมีแม่น้ำมาบรรจบกันสองสาย คือ ลำสนธิกับลำพระยากลาง สันนิษฐานว่าสถานที่แห่งนี้แต่เดิมเป็นเมืองโบราณ และจากการขุดแต่งโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ พบหลักฐานเพิ่มเติม คือ ชิ้นส่วนของเครื่องประดับตกแต่งองค์ปรางค์ ทำด้วยหินทรายเป็นรูปสตรีนุ่งผ้าตามศิลปะเขมรแบบบายน สันนิษฐานว่าปรางค์องค์นี้มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สำนักงาน กรมศิลปากรที่ ๔ โทร.๐ ๓๖๔ ๑๒๕๑๐
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ตั้งอยู่ที่บ้านลังกาเชื่อม ตำบลลำสนธิ ตำบลกุดตาเพชร มีเนื้อที่ประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๙๖,๘๗๕ ไร่ เป็นที่ราบอยู่ในหุบเขา ถูกกั้นด้วยเทือกเขาพังเพย ทิศตะวันตกเป็นเขารวก สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ๑๔๐-๘๔๖ เมตร ความสำคัญของพื้นที่ คือ ป่าซับลังกามีสภาพสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำลำสนธิ และแหล่งอาหารของสัตว์ป่า ปัจจุบันยังมีเลียงผา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวนอาศัยอยู่
เส้นทางศึกษาธรรมชาติจัดไว้ ๒ เส้นทาง เส้นแรกคือ ห้วยพริก-น้ำตกผาผึ้ง-ถ้ำผาผึ้ง ระยะทางไป-กลับประมาณ ๓,๒๐๐ เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ ๒ ชั่วโมง ๓๐ นาที เป็นเส้นทางที่ไม่ลำบากเกินไปนักสำหรับนักท่องธรรมชาติหน้าใหม่ ระหว่างเส้นทางจะผ่านน้ำตกผาผึ้ง ซึ่งเป็นน้ำตกเล็ก ๆ แต่มีความสวยงามเพราะบรรยากาศรอบข้างที่ร่มรื่นด้วยไม่ใหญ่นานาพรรณและเหมาะสำหรับเป็นจุดพักระหว่างทาง และหากชื่นชมธรรมชาติด้วยความสงบอาจมีโอกาสได้เห็นสัตว์เล็ก ๆ เช่น เต่า และนกต่าง ๆ ออกมาให้ได้ยลโฉมจากนั้นเดินต่อไปยังถ้ำผาผึ้งก่อนที่จะต้องใช้ฝีมือในการปีนป่ายหินแหลมคมเพื่อชมดงจันทร์ผาซึ่งเป็นไม้ดึกดำบรรพ์ที่มีรูปทรงงดงามและในช่วงปลายฝนต้นหนาวกล้วยไม้รองเท้านารีที่ซ่อนตัวอยู่ในดงจันทร์ผานี้จะเบ่งบานพร้อมกันในฤดูนี้
สำหรับจุดเริ่มต้นเดินเท้าเส้นทางนี้คือ ห้วยแม่พริก ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการเป็นระยะทาง ๙ กิโลเมตร ต้องใช้รถที่สภาพดี กำลังดี พร้อมที่จะลุยทางลูกรังที่ค่อนข้างเละ แต่ผู้ที่ไม่มีรถและไปกันเป็นคณะสามารถว่าจ้างรถอีแต๋นของชาวบ้านซึ่งเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นทางอ้อมด้วย โดยติดต่อล่วงหน้า โทร. ๐ ๓๖๔๕ ๑๙๓๖
อีกเส้นทางหนึ่งคือ ห้วยประดู่เริ่มต้นด้วยการล่องแพ ซึ่งจุคนได้ประมาณ ๓๕ คน ไปยังจุดเริ่มต้นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติซึ่งมีระยะทาง ๑,๕๐๐ เมตร ระหว่างเส้นทางเดินสามารถชมถ้ำสมุยกุยและถ้ำพระนอกได้ ใช้เวลาสำหรับเส้นทางนี้ประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที
สิ่งที่ควรนำไปด้วย สำหรับการเที่ยวที่ซับลังกา คือ รองเท้าที่กระชับรัดกุมเพื่อความคล่องตัวในการเดินย่ำน้ำตกและโขดหินลื่น หรือปีนป่ายหน้าผาหินแหลมคม ยาทากันยุง และที่สำคัญ คือ จิตสำนึกในการเป็นนักท่องธรรมชาติที่ดี
การเดินทาง ไปยังที่ทำการเขตฯใช้เส้นทางหมายเลข ๒๐๕ จากอำเภอชัยบาดาลไปอำเภอลำสนธิ ประมาณ ๓๑ กิโลเมตร จะมีทางแยกเข้าตำบลกุดตาเพชร ระยะทางประมาณ ๓๗ กิโลเมตร ติดต่อขออนุญาตเข้าพื้นที่ล่วงหน้าได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ตำบลกุดตาเพชร อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี โทร. ๐ ๓๖๔๕ ๑๙๓๖ , ๐ ๓๒๘๕ ๑๗๗๓ , ๐๘ ๗๑๑๙ ๑๘๙๓
แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ทหาร
ลพบุรี เป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศมาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงถูกเลือกให้เป็นที่มั่นแห่งที่ ๒ ของประเทศมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา การพัฒนาด้านการทหารของจังหวัดลพบุรี ปรากฏว่าเด่นชัดในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้กิจการด้านการทหารของลพบุรีมีความสำคัญมากเป็นอันดับ ๒ รองจากกรุงเทพมหานคร กิจกรรมด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ทหารหน่วยต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
กิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (อ.เมือง) ได้แก่ การสาธิตการดำรงชีพในป่า การกระโดดหอสูง ๓๔ ฟุต การฝึกกระโดดร่มจากบอลลูน การยิงปืน ไต่หน้าผา ทัวร์ป่าทางทหาร และชมพิพิธภัณฑ์ทหารรบพิเศษ ซึ่งจัดแสดงภาพและอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการ และภาพกิจกรรมต่าง ๆ ของหน่วยรบพิเศษ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
กิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ทหารค่าย A03 (อ.เมือง) ทางเข้าอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก ตำบลโคกตูม เป็นศูนย์รวมกิจกรรมในรูปแบบของการทดสอบกำลังใจและการดำรงชีวิตแบบทหาร อาทิ การกระโดดหอสูง ๓๔ ฟุต ไต่หน้าผาจำลอง ยิงปืน สะพานเชือก พายเรือแคนู
สถานที่ติดต่อ กองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุณาติดต่อล่วงหน้าอย่างน้อย ๑ สัปดาห์ สำหรับกิจกรรมค่ายพักแรม ๓๐ คน โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๒๑๙๒ (ในเวลาราชการ) หรือ ๐๘ ๑๙๔๗ ๒๘๐๐ (นอกเวลาราชการ) หรือ www.army.mi.th
แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (อ.เมือง) ได้แก่ สถาปัตยกรรมสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้แก่ ตึกชาโต้ (ตึกบัญชาการเขาน้ำโจน) ตึกพิบูลสงคราม และยังมีพิพิธภัณฑ์จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิพิธภัณฑ์ทหารปืนใหญ่ พิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา และอุทยานพฤกษศาสตร์ เปิดในวันเวลาราชการ หากต้องการเข้าชมวันเสาร์อาทิตย์ กรุณาติดต่อล่วงหน้า
สถานที่ติดต่อ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวศูนย์การทหารปืนใหญ่ โทร. ๐ ๓๖๔๘ ๖๔๓๓-๔ ต่อ ๓๙๑๐๔
แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่มณฑลทหารบกที่ ๑๓ (อ.เมือง) ได้แก่ สนามกอล์ฟ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เปิดบริการสำหรับบุคคลภายนอก ค่า Green Fee (๑๘ หลุม) เปิดทุกวัน ๐๕.๓๐-๑๗.๓๐ น.
สถานที่ติดต่อ มทบ.๑๓ โทร. ๐ ๓๖๔๑ ๓๑๓๓, ๐ ๓๖๔๒ ๒๗๓๔-๕ ต่อ ๓๗๓๙๓
แหล่งท่องเที่ยวภายในโรงพยาบาลอานันมหิดล (อ.เมือง) ได้แก่ ห้องแสดงพระราชประวัติรัชกาลที่ ๘ อยู่ภายในตึกอำนวยการโรงพยาบาลอานันทมหิดล จัดแสดงพระราชประวัติเมื่อครั้งเสด็จมาเปิดโรงพยาบาล เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๑
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลอานันทมหิดล โทร. ๐๓๖ – ๔๑๔๓๕๐ – ๕
แหล่งหัตถกรรมและสินค้าพื้นเมือง
อำเภอเมืองลพบุรี
หมู่บ้านดินสอพอง ลพบุรีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตดินสอพองที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งเดียวในประเทศไทย แหล่งผลิตอยู่ที่หมู่บ้านหินสองก้อน ตำบลทะเลชุบศร (ริมคลองชลประทาน บริเวณสะพาน ๖) เป็นหมู่บ้านที่มีการทำดินสอพองกันแทบทุกครัวเรือน และบริเวณนั้นจะมีดินสีขาว เรียกกันว่า ดินมาร์ล มีเนื้อเนียนขาวละเอียดแน่นจึงไม่เหมาะแก่การปลูกพืช แต่ด้วยภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นได้นำมาผลิตเป็นดินสอพอง ซึ่งสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายชนิด เช่น แป้ง เครื่องสำอาง ยาสีฟัน ตกแต่งผิวเครื่องเรือน เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ
ผู้ใหญ่ใหญ่ โทร. ๐ ๓๖๖๓ ๖๑๗๘
อบต.ทะเลชุบศร โทร. ๐ ๓๖๖๑ ๑๔๓๘
คุณน้อย โทร. ๐๘ ๖๐๑๓ ๖๔๒๘
ศูนย์โอท็อปทะเลชุบศร ม.๕ ถ.ศรีอินทราทิตย์ (สะพาน๖) ต.ทะเลชุบศร โทร.๐๘ ๗๖๖๖ ๙๕๔๑ (เปิด ๐๘.๐๐-๑๙.๐๐ น.)
ไข่เค็มดินสอพอง ของฝากที่มีชื่อเสียงของลพบุรี โดยนำดินสอพองมาผสมกับเกลือและน้ำตามสัดส่วน นำมาพอกไข่เค็มดินสอพองลพบุรี ไม่เค็มมากนัก สามารถนำไปทำไข่หวาน ไข่ดาว ไข่ต้ม และปรุงอาหารได้ ที่ขึ้นชื่อ คือ ไข่เค็มผัดพริกขิง
แหล่งผลิตได้แก่
การหล่อโลหะ(ทองเหลือง) ชุมชนบ้านท่ากระยาง เป็นที่รวมของบ้านช่างหล่อทองเหลืองซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ทำสืบทอดกันมายาวนาน มีการหล่อพระพุทธรูปด้วยทองเหลือง หล่อรูปต่าง ๆ และหล่อผลิตภัณฑ์เลียนแบบของเก่าด้วย ปัจจุบันมีการรวมตัวกันเป็นชมรมช่างหล่อทองเหลืองบ้านท่ากระยาง มีศูนย์รวมการผลิตและจำหน่าย อยู่ที่ ๑๖๘ หมู่ ๑ ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง โทร. ๐ ๓๖๔๒ ๑๔๖๙
อำเภอบ้านหมี่
หมู่บ้านทอผ้ามัดหมี่ เป็นแหล่งทอผ้าพื้นเมืองลายเอกลักษณ์ของชาวไทยพวน เรียกว่า มัดหมี่ ปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบลายผ้าและสีให้ทันสมัยยิ่งขึ้น นับเป็นแหล่งทอผ้ามัดหมี่ที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยมของประเทศ มีการรวมกลุ่มกันทอตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในแถบ ตำบลบ้านกล้วย ตำบลบ้านทราย ตำบลหินปัก
ศูนย์สาธิตและจำหน่าย ได้แก่
- กลุ่มทอผ้าบ้านหมี่ ๘๐ หมู่ ๑ ตำบลบ้านกล้วย (ไปตามถนนสายบ้านหมี่-โคกสำโรง ประมาณ ๒ กิโลเมตร) โทร. ๐ ๓๖๔๗ ๑๙๐๔ , ๐๘๗ ๐๐๖๑๘๙๗
ส้มฟัก เป็นอาหารที่ทำจากการหมักเนื้อปลาด้วยเกลือ ข้าวสุกบด และกระเทียมดองนำมานวดจนแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วหมักเช่นเดียวกับหมักแหนม เนื้อปลาที่ใช้เป็นเนื้อปลาที่มีสีขาวละเอียด เช่น ปลากราย ปลาสลาด ปลายี่สก ใช้เวลาหมัก ๓ วัน จึงจะเปรี้ยวได้ที่ รับประทานเป็นกับแกล้ม แหล่งผลิตอยู่ที่อำเภอบ้านหมี่
ปลาส้ม เป็นอาหารที่นิยมกันมากอีกชนิดหนึ่ง ใช้ปลาตะเพียนขอดเกล็ดผ่าท้องควักไส้ออก คลุกเกลือให้ทั่วตัวปลา แล้วนำข้าวสุกผสมกระเทียมใส่เข้าไปในท้องปลา หมักจนได้ที่ เวลารับประทานนำมาทอดให้สุกจะมีกลิ่นหอม เนื้อปลามีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ติดต่อได้ที่ ประกอบจิตร์ โทร. ๐๘ ๑๙๐๓ ๙๘๕๕ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุม จังหวัดลพบุรี โทร.๐ ๓๖๗๗ ๐๒๒๑
อำเภอท่าวุ้ง
วุ้นน้ำมะพร้าว ของฝากขึ้นชื่อของลพบุรี ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยผลิตในรูปของอาหาร (ของหวาน) ใช้รับประทานกับน้ำแข็ง ตัววุ้นเกิดจากกระบวนการหมักน้ำส้มสายชูด้วยน้ำมะพร้าวกับจุลินทรีย์ที่ผลิตกรดน้ำส้ม จะเกิดแผ่นวุ้นลอยบนผิวหน้าของน้ำส้มสายชูหมัก มีสีขาวคล้ายดอกเห็ด จะขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาของการหมัก เรียกกันว่า "เห็ดวุ้นน้ำมะพร้าว" หรือ "วุ้นมะพร้าว" หลังจากนั้นก็จะนำแผ่นวุ้นมาผสมกับน้ำเชื่อมรสต่าง ๆ บรรจุขวด
แหล่งผลิต ได้แก่
- โรงงานน้ำทิพย์วุ้นมะพร้าว ๑๑๐ หมู่ ๙ ตำบลบางขันหมาก โทร. ๐ ๓๖๔๒ ๐๕๙๐
- ณัฐธิดาฟาร์ม ๘๒ หมู่ ๖ ตำบลโพตลาดแก้ว อำเภอท่าวุ้ง โทร. ๐ ๓๖๖๔ ๕๑๕๐ , ๐๘ ๑๘๖๘ ๔๙๘๗
อำเภอโคกสำโรง
หมู่บ้านแกะสลักหินทราย ผลิตกับแทบทุกครัวเรือนที่บ้านหนองแล้ง ตำบลเพนียด โดยนำหินทรายบริเวณเชิงเขามาแกะสลักในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทำเป็นผลิตภัณฑ์เลียนแบบของเก่า วัสดุแต่งสวน พระพุทธรูป ใบเสมาและลูกนิมิต เป็นต้น โทร ๐๘ ๖๑๓๒ ๙๘๒๙ , ๐๘ ๑๙๘๔ ๖๓๙๓
อำเภอพัฒนานิคม
ผลิตภัณฑ์จากเปลือกข้าวโพด ในพื้นที่ของอำเภอพัฒนานิคม มีการปลูกข้าวโพดกันมาก เมื่อมีการเก็บผลผลิตแล้ว จะนำเปลือกข้าวโพดมาตากแห้ง จากนั้นนำมาย้อมสีและประดิษฐ์เป็นงานหัตถกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น ดอกไม้ ตุ๊กตา พวงกุญแจ เป็นต้น
มีการรวมกลุ่มกันผลิตและจำหน่ายที่หมู่บ้านค้ำคูน (ซอย ๒๑) เลขที่ ๓๓ หมู่ ๗ ตำบลพัฒนานิคม
นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และผลไม้ตามฤดูกาลที่น่าสนใจ เช่น เสื่อทอ ที่ตำบลบ้านท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จักสานผักตบชวา ที่ตำบลบ้านเบิก ตำบลบางลี่ อำเภอท่าวุ้ง กระท้อน ที่ตำบลตะลุง อำเภอเมืองลพบุรี น้อยหน่า (พันธุ์ปุยฝ้าย) ที่บ้านน้ำจั้น อำเภอเมืองลพบุรี เป็นต้น โทร. ๐ ๓๖๖๓ ๙๑๐๕ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุม จังหวัดลพบุรี โทร.๐ ๓๖๗๗ ๐๒๒๑