มาแล้วกับการเปิดเส้นทาง “รถไฟลอยน้ำ” ขบวนรถพิเศษ นำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งมีสถานีต้นทางจากหัวลำโพง กรุงเทพฯ และสถานีปลายทาง ณ แหล่งท่องเที่ยวรถไฟลอยน้ำ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางสัมผัสกับเส้นทางท่องเที่ยว “รถไฟลอยน้ำ หนึ่งเดียวของเมืองไทย” ในทุกๆ วันเสาร์ และอาทิตย์ ตลอด เดือนพฤศจิกายน 2565 – มกราคม 2566 โดยเริ่มรอบปฐมฤกษ์ของปีทั้ง 2 วันที่ผ่านมา ต้องลากยาวถึงวันละ 17 โบกี้ แต่จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน จากเดิม วันละประมาณ 1,200 คน เหลือเพียงวันละ 700-800 คน ต่อวัน
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นที่เที่ยวลพบุรี ที่มีความสวยงาม อีกทั้งภายในเขื่อนเองก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวให้เราได้ไปเยี่ยมเยือนหลากหลายจุด ซึ่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ก็คือการนั่งรถไฟลอยน้ำ ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟสายแก่งคอย-บัวใหญ่ โดยเส้นทางรถไฟจะผ่านผืนน้ำสุดกว้างใหญ่ภายในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ผู้โดยสารจึงจะได้ชมวิวที่สวยงามของเขื่อนกันอีกด้วย
นอกจากนี้ ทุกท่านที่ร่วมขบวนนำเที่ยว ไม่เพียงแต่จะได้ชมความสวยงามของเขื่อนเท่านั้น การเดินทางครั้งนี้ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ การแสดงวิถีชีวิตชุมชนไทยเบิ้ง, จำหน่ายสินค้า OTOP, พิพิธภัณฑ์โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักในพระราชดำริ, นั่งรถตัวหนอนชมเขื่อน, สักการะพระใหญ่ที่อยู่ในฟากของ อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี, สวนดอกทานตะวันในเขื่อน และนั่งรถม้า ชมฟาร์มแกะ ฟาร์มแพะ เป็นต้น
ตารางเดินรถไฟ และกำหนดเวลาเดินรถ
- รถไฟออกจากสถานีกรุงเทพฯ เวลา 07.10 น. เที่ยวกลับจากเขื่อนป่าสักฯ เวลา 15.00 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 18.30 น.
- รถไฟจะจอดที่สถานีกรุงเทพฯ สามเสน บางซื่อ บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี แก่งคอย แก่งเสือเต้น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และโคกสลุง
ราคารถไฟลอยน้ำ : เป็นราคาเหมาต่อวัน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
- ราคา 270 บาท (ไป-กลับ) สำหรับคนที่ขึ้นตั้งแต่สถานีกรุงเทพฯ-อยุธยา - ราคา 110 บาท (ไป-กลับ) สำหรับคนที่ขึ้นสระบุรีและแก่งคอย - ราคา 60 บาท (ไป-กลับ) สำหรับคนที่ขึ้นแค่ไปนั่งรถไฟลอยน้ำช่วงแก่งเสือเต้นและสันเขื่อน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 1690 หรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี โทรศัพท์ 0 3677 0096-7 ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
ทั้งนี้ ขบวนรถพิเศษนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จะเปิดให้บริการแบบเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดจัดในทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2565 – มกราคม 2566 รวม 24 วัน เพื่อช่วยสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้กลับมาฟื้นตัวได้ตามนโยบายของรัฐบาล ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้ สร้างความเข้มแข็งสู่เศรษฐกิจฐานราก และชุมชนให้กลับมามีความเข้มแข็งยั่งยืน